วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

ผูกผันธ์แต่อย่าผูกมัด

ผูกผันธ์แต่อย่าผูกมัด
เมื่อความรักเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
สายใยที่จะเชื่อมโยงกันและกันให้ใกล้ชิด แนบแน่น
แม้ยามห่างไกล ก็คือ ความผูกพัน แต่ความผูกพันก็ไม่ใช่
สิ่งที่จะบอกว่า คนสองคน จะต้องชอบอะไรเหมือนๆ กัน
มีความเห็นตรงกันไปซะทุกเรื่อง
หรือแม้แต่ตัวจะต้องติดกัน เป็นปาท่องโก๋ตลอดเวลา
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ใครก็ใคร
จะต้องอึดอัดเข้าสักวันหนึ่ง
ถ้าเกิดถึงเวลาที่ต้องห่างไกลกันมากๆ
อย่างนี้มันก็คงไม่เรียกว่าความผูกพันแล้วล่ะ
น่าจะเป็นการผูกมัดมากกว่า
ความผูกพันบางอย่าง อาจจะมากเกินไปจนเป็นการผูกมัด
คุณเกิดความรู้สึกหึงหวงเขามากๆ จนไร้เหตุผล
(ไม่ไว้ใจกันนั่นแหละ) จนทำให้ทะเลาะกันบ่อยๆ
หรือ คุณรู้สึกว่าเวลาเขาไม่อยู่โลกทั้งใบ
ดูจะหมองหม่นไปซะหมด
แบบว่าขาดเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวเลย
มันทำให้เป็นทุกข์เมื่อมีรัก...
ก็เพราะเราใช้ความรัก เป็นเครื่องกักขังกันละกัน
จนนานเข้า ก็กลายเป็นการผูกมัด
แล้วความผูกพันคืออะไร???
ความผูกพัน จะไม่สร้างความทุกข์ทรมาน ให้แก่ผู้ที่รู้จัก
แต่มันจะก่อให้เกิด ความสุขกับทุกคู่ที่ผูกพัน
เพราะเมื่อเราผูกพันกันย่างจริงๆ นั้น ก็จะไม่รู้สึก
กระวนกระวายทั้งยามใกล้ชิด หรือห่างไกลกัน ไว้ใจ
และมีความสุขอยู่เสมอ เหมือนกับว่า ตัวไกลแต่ใกล้ใจ
พื้นฐานของความผูกพัน นั้นก็ต้องเริ่มจาก ความไว้ใจ
เว้นช่องว่างให้ห่างกันพอประมาณ เพื่อให้แต่ละคน
ได้มีโอกาสตามหาฝันของตนบ้าง
มีโอกาสเป็นตัวของตัวเองบ้าง
ดังคำของ Kahlil Gibran กวีชาว เลบานอน ว่า
ให้เติมเต็มในถ้วยของกันและกัน
แต่อย่าดื่มในถ้วยเดียวกัน
ให้แบ่งปันขนมปังแก่กัน แต่อย่ากินก้อนเดียวกัน
ให้สนุกสนานด้วยกันอย่างร่าเริง
แต่ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายไปสนุกคนเดียวบ้าง
ให้ยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่ายืนชิดกันจนเกินไป
เพราะความผูกพัน มีพัฒนาการมาจากความรัก
การที่เรารู้จัก พิจารณาแง่มุมของความรักให้ดี
อย่ารักจนกลายเป็น การหน่วงเหนี่ยวกันและกันจนเกินไป
แล้วความรักของคุณ ก็จะไม่เป็นทุกข์

4 วิธีแก้คอเคล็ด เพราะตกหมอน



4 วิธีแก้คอเคล็ด เพราะตกหมอน (ชีวจิต)

"โอ๊ย... ช่วยด้วยหันคอไม่ได้" ...คุณล่ะเคยไหมคะ ที่บางครั้งหลังตื่นนอนไม่สามารถหันคอหรือเอียงคอได้ เพราะคอเคล็ดหรือคอแข็ง อย่างที่เราเรียกว่า "ตกหมอน" นั่นเอง

เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ไว้ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการตกหมอนมาฝากค่ะ

1. อย่าพยายามเคลื่อนไหวคอและให้อยู่นิ่งๆ โดยการนอนราบชั่วคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก

2. ประคบร้อน ด้วยกระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่นบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอที่เจ็บประมาณ 20-30 นาที และกดนวดบริเวณคอเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น

3. ดัดยืดคอด้วยตนเอง โดยใช้มือช่วยดันศีรษะไปในทิศทางที่เกิดอาการตึงช้าๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อยแต่ไม่เจ็บ ดันค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที แล้วทำซ้ำ 5-10 ครั้ง จนเริ่มรู้สึกทุเลาลง

4. นวดเบาๆ โดยใช้มือบีบลงบนแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกปวดเมื่อย ให้แรงบีบพอประมาณที่ทำให้รู้สึกแน่นตึงและไม่เจ็บ บีบและคลายเป็นจังหวะ การประคบร้อนก่อนการนวดจะช่วยให้นวดได้ง่ายขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น

ข้อควรระวัง ไม่ควรกดบีบหรือยืดกล้ามเนื้อจนรู้สึกเจ็บ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น และไม่ควรให้ผู้อื่นดัดคอหรือจับเส้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้อักเสบและเรื้อรังได้ ถ้ายังไม่หายค่อยๆ ฝึกออกกำลังกล้ามเนื้อหรือปรึกษานักกายภาพบำบัด

ปกติอาการปวดคอมักจะหายภายใน 1-2 วัน ถ้าอาการรุนแรงขึ้นหรือยังไม่หายสนิท ให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรักษาให้ถูกต้องค่ะ

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

ความว่าง พื้นที่ความสุข ที่เรามักมองข้ามไป



ยิ่งมีความต้องการมากเท่าใด

ภาระที่ต้องแบกรับก็จะมากขึ้นเท่านั้น

การแสวงหาและการได้มา

ที่ดูเหมือนเป็นการทุ่มเทเกินร้อย

ก็เป็นเพียงการทำเรื่องที่ควรจะง่าย

ให้เป็นเรื่องยากโดยไม่จำเป็น

ชีวิตที่กำลังก้าวไปจึงยากและยุ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

มีลิงตัวหนึ่งออกหาอาหารและได้มาเจอเม็ดถั่วเข้า จึงจัดการเก็บเม็ดถั่วเหล่านั้นมาเก็บไว้ในกำมือด้วยความดีใจ แต่ด้วยความที่ไม่ทันระวัง ขณะที่กำลังเดินกลับไปยังที่อยู่ของตน ถั่วเม็ดหนึ่งได้หล่นจากกำมือ

เมื่อลิงเห็นว่ามีถั่วหล่นจากมือ มันก็รีบทิ้งถั่วที่เหลือทั้งหมด เพื่อที่จะเก็บถั่วเพียงเม็ดเดียวที่หล่นลงไป ครั้นเก็บเม็ดที่หล่นได้แล้ว จึงรู้ว่าตนได้ทิ้งเม็ดถั่วที่เหลือ

เจ้าลิงผู้ห่วงหน้าพะวงหลัง จึงตามเก็บเม็ดถั่วที่หล่นเรี่ยราดไปเรื่อยๆ แต่เมื่อเก็บได้จนเต็มกำมือ มันก็ทิ้งถั่วที่เก็บขึ้นมาลงที่พื้นอีก เพื่อที่จะเก็บถั่วที่ยังเหลืออยู่ และต้องเวียนเก็บอยู่อย่างนี้เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่สามารถเก็บได้หมดสักที

ในขณะที่กำลังกุลีกุจอเก็บเม็ดถั่วอยู่นั้น ก็มีฝูงนกมาจิกกินเป็นจำนวนมาก ลิงก็ทั้งเก็บเม็ดถั่วและไล่นกไปด้วย จากที่คิดว่าจะได้ครบทุกเม็ด ก็เหลือถั่วเพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น ทำให้ลิงผู้คิดว่าจะครอบครองเม็ดถั่วทั้งหมด ต้องกลับไปยังที่อยู่ของตนด้วยความผิดหวัง

บางครั้งชีวิตของเราก็เหมือนกับลิงที่ตามเก็บเม็ดถั่ว ที่ดูเหมือน ว่าต้องการเก็บรายละเอียดทุกอย่างให้มากที่สุด เพื่อเติมแต่งให้ตัวเองรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบกว่าใครๆ

แต่ยิ่งมีความต้องการมากเท่าใด ภาระที่ต้องแบกรับก็จะมากขึ้นเท่านั้น การแสวงหาและการได้มา ที่ดูเหมือนเป็นการทุ่มเทเกินร้อย ก็เป็นเพียงการทำเรื่องที่ควรจะง่าย ให้เป็นเรื่องยากโดยไม่จำเป็น ชีวิตที่กำลังก้าวไป จึงยากและยุ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ทว่าหากรู้จักไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง และวินิจฉัยตรวจตราตัวเองด้วยปัญญา จะเห็นได้ว่าชีวิตของคนเรา ล้วนมีความมหัศจรรย์ซ่อนอยู่ เกินกว่าที่เราจะเสียเวลาไปกับสิ่งไร้สาระมากเกินความจำเป็น

แต่ก็มีบ่อยครั้งที่เรามักจะลบข้อมูลแห่งความมหัศจรรย์ให้หายไป แล้วแทนที่ด้วยความไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี ทำให้ชีวิตต้องพบกับความสับสนและไร้ทางออก เมื่อต้องเจอกับปัญหาที่เข้ามารุมเร้าตัวเรา

ผู้อ่านเคยสังเกตไหมว่า ในวันที่ชีวิตของเรามีปัญหา ถ้ารู้จักมองในแง่ของการพัฒนา ตัวปัญหานั่นแหละคือสิ่งที่ท้าทาย ที่ทำให้เราได้ค้นหาความมหัศจรรย์ที่มี เพื่อให้ความพิเศษที่มีอยู่ช่วยคลี่ความยุ่งเหยิงให้คลายตัว สิ่งดังกล่าวก็คือ "ความว่าง"

"ความว่าง" เมื่อมองอย่างผิวเผิน บางครั้งก็ทำให้หลายคนคิดว่ามันคือความขาดเกิน ที่ไม่มีอะไรมาเพิ่มเติมให้เกิดเป็นความบริบูรณ์ เป็นความโล่งเตียนที่เหมือนไม่มีการเติมเต็มจากสิ่งใดๆ เราจึงรู้สึกว่าความว่างไม่มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตนี้
แต่หากรู้จักพิจารณาให้ละเอียดลงไป เราจะเห็นได้ว่าชีวิตที่จะมีความสุขและความสมดุล ล้วนต้องอาศัยความว่างมาคอยรองรับให้การเติมเต็มมีความบริบูรณ์เสมอ

ตื่นเช้าขึ้นมาในวันใหม่ อากาศที่ล่องลอยผ่านไปมาให้เราได้สูดดม และรู้สึกได้ถึงความสดใสในแต่ละวัน ก็ล้วนล่องลอยมาท่ามกลางความว่างของอากาศเสมอ

บ้านที่เรารู้สึกว่าให้ความอบอุ่นแก่ตัวเราและคนที่เรารัก ก็มีพื้นที่ว่างของบ้านให้เราได้อยู่อาศัย และเป็นแหล่งรวมใจให้เราและคนที่เราพึงใจได้อยู่ใกล้ชิดกัน

ความวุ่นวายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจิตใจ ที่กลุ้มรุมเพื่อทำร้ายความผ่องใสให้เป็นความขุ่นมัว ก็ล้วนมีความว่างที่เกิดจากความสงบ เข้ามาช่วยผ่อนคลายให้ความยุ่งยากนั้นจืดจางไป

ยิ่งเป็นความสุขในมิติของจิตใจด้วยแล้ว ความว่างจากอารมณ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะเหตุแห่งความว้าวุ่นที่คุกรุ่นในใจเรา ล้วนเกิดจากความอัดแน่นของความต้องการที่ไม่รู้จักพอเป็นหลัก

เป็นชีวิตที่ถูกอัดแน่นด้วยความอยากได้จนเกินงาม โกรธเกลียดและลุ่มหลงจนเกินพอดี ความสุขที่ควรจะมี จึงล่องลอยออกไปจากชีวิตของเราโดยปริยาย

แต่เมื่อใดที่เราทำจิตใจให้ว่าง รู้จักวางใจต่ออารมณ์ที่มาบีบรัดให้เจ็บตัว แม้ในวันที่ต้องเจอกับปัญหาที่หนักๆ จิตใจที่รู้จักแบ่งให้พื้นที่ของความว่างเข้ามาพัก ย่อมช่วยประคองตัวเราให้ก้าวผ่านปัญหาไปได้ด้วยความสวัสดี

ที่สำคัญ เมื่อจิตได้ฝึกที่จะให้เกิดความว่างอยู่บ่อยๆ และรู้จักสังเกตอารมณ์ที่ผ่านเข้ามาว่ามันคืออะไร แล้วให้มันผ่านเลยไป โดยให้เหลือแต่พื้นที่ของความว่าง อันเป็นความโปร่งเบาทางความรู้สึก ย่อมทำให้เราสัมผัสความสบายที่ไร้พันธนาการได้ด้วยใจที่อิ่มเอม

เป็นความสบายเพราะไม่ถูกรึงรัดจากอารมณ์ เพราะใจมีพื้นที่ของความว่างที่มากพอต่อการรองรับทุกๆ อารมณ์ที่ผ่านเข้ามา ทุกสิ่งอย่างที่เราต้องเจอ จึงเป็นได้แค่เพียงแวะเข้ามาชะเง้อดูชั่วคราว แล้วก็ต้องจำใจจากลา เพราะเรามีเจ้าของที่เรียกว่าความว่างครอบครองอยู่ก่อน

ดังนั้น หากต้องการที่จะให้ชีวิตนี้มีความสุข เราก็ต้องรู้จักทำจิตใจให้มีพื้นที่ของความว่างจากอารมณ์ให้ได้ เพราะจิตที่ว่างเพราะการวางใจเป็น ย่อมมีความสุขคอยหล่อเลี้ยงและเคียงข้างเราเสมอ

และเมื่อใดที่ต้องการให้สิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามาเพื่อทำการศึกษา จิตที่ถูกความว่างเฝ้าสอนภาวนา ย่อมรู้ว่าสิ่งใดควรค่าต่อการวิจัยเพื่อวินิจฉัยให้ปัญญาได้เติบโต

แล้วความสุขที่เฝ้ารอ ย่อมมีทางเลือกที่นำเราไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริงตลอดไป

ทำครีมพอกหน้า ใช้เองกันเถอะ



ครีมพอกหน้ากระปุกละหลายสตางค์ เราไม่สน เพราะเราสามารถทำครีมพอกหน้าอย่างง่ายๆ ใช้เองได้ วัตถุดิบทั้งหลายอยู่ในตู้เย็น เป็นของธรรมชาติ และราคาไม่แพงค่ะ

สูตรแรกคือน้ำผึ้งนั่นเอง น้ำผึ้งกินอร่อยแล้วยังให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ดีด้วย ควรทาน้ำผึ้งหลังจากล้างหน้า ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นใช้นิ้วตบทั่วใบหน้าเบาๆ แล้วล้างออกให้สะอาด น้ำผึ้งจะทำความสะอาดรูขุมขนและช่วยขจัดรอยสิวเสี้ยนดำด้วย

ไข่ขาว ใช้วิธีตีไข่ขาวให้ขึ้น ทาทั่วใบหน้าและลำคอ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ล้างด้วยน้ำเย็น ไข่ขาวจะทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น

หากอยากได้ความรู้สึกสดชื่นผิว ใช้แตงกวาเย็นๆ หั่นเป็นแว่น ไม่ต้องหนา นำมาวางให้ทั่วใบหน้า รวมทั้งบนเปลือกตา นอนหงาย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ความเหน็ดเหนื่อยล้าต่างๆ จะพลอยหายไปเป็นปลิดทิ้ง หรือใช้โยเกิร์ตเย็นๆ ทาทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้สักครู่และล้างออก ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้นเช่นกัน

การพอกหน้าจะได้ผลดียิ่งขึ้นถ้ามีการอบไอน้ำเสียก่อน ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ รินน้ำร้อนใส่อ่างหรือกะละมัง ยื่นหน้าไปรับไอน้ำ พร้อมโพกผ้าขนหนูคลุมศีรษะและรอบอ่างให้เหมือนกระโจม ประมาณไม่เกิน 5 นาที หรืออาจใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำร้อนแล้วนำมาเช็ดหน้าก็ได้

สังเกตให้ดี ถ้าผิวถลอกและแห้งแสดงว่าอาจร้อน หรือคุณถูหน้าแรงเกินไป สำหรับคนผิวแห้งควรอบไอน้ำแค่อาทิตย์ละครั้งหนึ่ง หรือถ้าผิวแห้งมากก็เว้นไปเป็น 2 อาทิตย์ครั้งก็พอ

Coconut Diet กินไขมันกันอ้วน



Coconut Diet กินไขมันกันอ้วน (Health & Cuisine)

แม้การลดความอ้วนด้วยวิธีควบคุมอาหารจะมีมากมาย แต่การกินน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดน้ำหนัก คือกินไขมันเพื่อลดไขมัน ซึ่งเป็นวิธีการแบบหนามยอกต้องเอาหนามบ่งนี้ พบว่าจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ 4-5 กิโลกรัม ภายใน 1 เดือน

น้ำมันมะพร้าวลดอ้วน

น้ำมันมะพร้าวจัดเป็นน้ำมันพืชชนิดแรกๆ ที่เรารู้จักและนำมาใช้ปรุงอาหารหรือบำรุงความงาม เช่น ทาผิว หมักผม เป็นต้น แต่ภายหลังนิยมบริโภคน้อยลง เพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงทำให้อ้วนและเกิดไขมันสะสม ส่วนน้ำมันมะพร้าวที่กินเพื่อลดความอ้วนในปัจจุบันไม่เหมือนกับน้ำมันมะพร้าวแบบเดิมที่สกัดโดยใช้ความร้อน แต่เป็นน้ำมันมะพร้าวที่เรียกว่า Virgin coconut oil ซึ่งผ่านกระบวนการหีบเย็น คือ ใช้วิธีการปั่น บีบน้ำมันออกมาโดยตรง หรือการแยกหมักด้วยแบคทีเรียเพื่อแยกน้ำมัน และด้วยกรรมวิธีที่แตกต่างนี้เองที่ทำให้สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวสองชนิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยชนิดใหม่จะช่วยลดความอ้วนและไม่ตกค้างในร่างกาย

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีองค์ประกอบของกรดไขมันที่มีประโยชน์อยู่มาก โดยเฉพาะกรดไขมันความยาวขนาดกลาง (มีเดียมเชน ไตรกลีเซอไรด์) ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะมีปฏิกิริยาคล้ายน้ำตาล คือ จะถูกส่งผ่านกระแสเลือดโดยตรง จึงเข้าสู่เซลล์และสลายตัวได้เร็ว แตกต่างจากน้ำมันพืชชนิดอื่น นอกจากนี้ยังพบสารไมโตรนิวเตรียนบางตัวที่อยู่ในมะพร้าว เช่น กลุ่มฮอร์โมนพืช ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง ทฤษฎีลดน้ำหนัก

การกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเป็นแนวคิดของแอ็ตกินไดเอ็ต (Atkins Diet) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในดาราฮอลลีวู้ด เช่น เจนนิเฟอร์ อนิสตัน โดยมีหลักการว่า ต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการสะสมไขมันของร่างกาย หากงดกินแป้งและกินแต่ไขมัน ไขมันจะกดความอยากอาหาร เมื่อกินไปสักระยะเราจึงกินน้อยลง

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหารได้ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ และสร้างความร้อนได้เร็วจึงไม่สะสมในร่างกาย ทฤษฎีแอ็ตกินแนะนำให้กินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ควบคู่กับอาหารแบบโลว์คาร์บ คืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยอาจนำมาผสมกับสมูตตี้ น้ำสลัด หรือซอส วันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ

ทั้งนี้ศาสตราจารย์ ดร. วินัย ดะลันห์ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยานิพิดและไขมัน จุฬาฯ ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวว่า "สามารถทำได้จริงและเห็นผลดี แต่ควรอยู่ภายใต้การแนะนำของนักโภชนาการ หากกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกิน 2 เดือนขึ้นไป ควรกินแคลเซียมเสริมเนื่องจากการกินอาหารมันๆ จะมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย"โฆษณาชวนเชื่อ น้ำมันมะพร้าวลดอ้วน

ในบ้านเรากระแสการกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเริ่มแพร่หลาย แต่ยังมีความเข้าใจผิดเรื่องวิธีใช้และสรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์อยู่มาก ศาสตราจารย์ ดร. วินัย ดะลันห์ กล่าวว่า “มีการให้ข้อมูลผิดๆ ว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เป็นแหล่งของกรดไขมันพวกรอลิค (ซี12) สูง ซึ่งถ้าบริโภคในปริมาณมากและต่อเนื่องจะทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีการอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีสรรพคุณคล้ายกับสารที่มีอยู่ในน้ำนม ซึ่งจริงๆ แล้วน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีกรดไขมันพวกคาพริลิค (Caprylic) ที่สลายพลังงานได้เร็วและมีคุณสมบัติคล้ายคาร์โบไฮเดรต คือจะถูกย่อยสลายในลักษณะคล้ายน้ำตาล แต่ต่างกันตรงที่ไม่ต้องใช้อินซูลีน”

"ส่วนข้อแนะนำการบริโภคที่ให้คลุกเคล้ากับอาหารมื้อละ 1 ช้อนโต๊ะนั้น หากปฏิบัติตามอาจช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แต่น้ำหนักจะไม่ลดลงหากกินไขมันพร้อมกับคาร์โบไฮเดรต และในทางกลับกันการกินแบบนี้จะยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น"

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552

รู้จัก อะฟลาท็อกซิน สารก่อมะเร็ง ดีพอหรือยัง?



"อะฟลาท็อกซิน" ถูกจัดอันดับเป็นสารก่อมะเร็งร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งในโลก แถมยังทนความร้อนได้สูงมาก การปรุงอาหารจึงไม่สามารถทำลายได้ สารพิษนี้เกิดจากอะไร และเราจะสามารถหลีกเลี่ยงพ้นได้อย่างไร

สาร "อะฟลาท็อกซิน" เป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อราและมีการปนเปื้อนในอาหารมากที่สุดชนิดหนึ่ง จนถึงขั้นอาจกล่าวได้ว่า อาหารที่เกิดเชื้อราได้ ย่อมมีโอกาสปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซินได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วอาหารที่มักพบว่าปนเปื้อนอะฟลาท็อกซิน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วลิสง นอกจากนี้ ยังพบในถั่วชนิดอื่นๆ รวมถึงข้าวและข้าวโพด แถมยังพบในแป้งต่างๆ เช่น แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว แป้งสาลี แป้งมันสำปะหลัง และอาหารอบแห้งทั้งหลาย เช่น พริก แห้ง พริกป่น พริกไทย งา ปลาแห้ง กุ้งแห้ง กระเทียม หัวหอม ผักและผลไม้อบแห้ง เครื่องเทศ หรือแม้แต่สมุนไพร ชา ชาสมุนไพร และกาแฟคั่วบด

อะฟลาท็อกซินได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากการปรุงอาหารด้วยความร้อนธรรมดา เช่น การทอด หุง นึ่ง ต้ม จะไม่สามารถทำลายพิษอะฟลาท็อกซินให้หมดไปได้ เพราะสารพิษนี้สามารถทนความร้อนไปสูงถึง 260 องศาเซลเซียส

องค์กรอนามัยโลกจัดระดับความเป็นพิษของสารอะฟลาท็อกซิน ให้เป็น "สารก่อมะเร็ง" ที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะสารอะฟลาท็อกซินเพียง 1 ไมโครกรัมสามารถทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในแบคทีเรีย และทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ เมื่อได้รับอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ สารอะฟลาท็อกซินยังใกล้ชิดกับมนุษย์มาก เพราะมีอยู่ในอาหารที่เราบริโภคอยู่ทุกวัน แม้จะไม่ค่อยพบการเกิดพิษอย่างเฉียบพลัน เนื่องจากบริโภคครั้งละไม่มาก แต่ก็เสียงต่อการเกิดพิษสะสม หากร่ายการได้รับเข้าไปเป็นประจำ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิด "โรคมะเร็งตับ" ดังนั้น เราจึงให้ความสนใจและตระหนักถึงพิษภัยของสารพิษนี้ เพื่อหาทางป้องกันและหลีกเลี่ยง

ชนิดของอะฟลาท็อกซิน

"อะฟลาท็อกซิน" เกิดจากเชื้อราในกลุ่มแอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส และแอสเปอร์จิลลัส พาราซิติกัส ซึ่งพบได้ในอาหารที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปและที่ผ่านการแปรรูปแล้ว ตามธรรมชาติอะฟลาท็อกซินมี 4 ชนิด ได้แก่ อะฟลาท็อกซิน ชนิด B1 B2 G1 และ G2 โดยชนิด B1 มีความอันตรายมากที่สุดแนะวิธีเลี่ยงพิษอะฟลาท็อกซิน

1.เชื้อราที่เป็นต้นกำเนิดของอะฟลาท็อกซินจะเจริญเติบโตได้ดีในอาหารที่ มีความชื้นมากๆ แต่ผู้บริโภคสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตา เพราะจะมีสีเขียวอมเหลือง หรือสีเขียวเข้ม ดังนั้น เมื่อพบว่าอาหารมีราสีเขียมอมเหลือง ควรนำไปทิ้งทันทีและห้ามนำมาปรุงอาหารเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคหลายคนคิดว่า แค่ปาดส่วนที่เป็นเชื้อราออกไป ก็สามารถรับประทานส่วยที่เหลือได้นั้น ถือเป็นความคิดที่ผิด เพราะสารพิษที่เชื้อราสร้างขึ้นได้แพร่กระจายไปทั่วอาหารนั้นๆ แล้ว การนำมาบริโภคจึงเป็นการนำสารพิษด้วยสู่ร่างกายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยแท้

2.อาหารที่มีแนวโน้มติดเชื้อราได้ง่าย เราไม่ควรซื้อมาเก็บครั้งละมากๆ และควรซื้อเพียงพอใช้เท่านั้น นอกจากนี้ ต้องเก็บรักษาในที่แห้งสนิทและไม่มีความชื้น ส่วนการเลือกซื้อผลไม้นั้น ควรซื้อในปริมาณน้อยเช่นกันและเลือกให้มีความสุกและความดิบแตกต่างกัน เพราะหากซื้อแบบสุกมาทั้งหมดครั้งเดียว ผลไม้ที่รับประทานไม่ทันอาจขึ้นราได้

3.ควรหลีกเลี่ยงถั่วลิสง ที่ดูเก่า มีความชื้นหรือมีกลิ่นหืน เพราะมีโอกาสปนเปื้อนอะฟลาท็อกซินสูงมาก

4.ควรเลือกซื้อาหารจากแหล่งที่ไว้ใจได้ มีหีบห่อมิดชิดและสดใหม่

5. หากสงสัยว่าอาหารขึ้นรา ควรทิ้งไปให้หมด ส่วนกระดาษหรือกล่องที่สัมผัสอาหารขึ้นรา ก็ควรทิ้งด้วย เพื่อป้องกันการปนเปื้อนอาหารอื่นๆ ต่อไป

6.ควรล้างอุปกรณ์เครื่องครัวและเขียงให้สะอาด และควรซับให้แห้งอยู่เสมอ

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของกล้วย



ถ้าต้องการให้ระดับพลังงาน ที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่า กล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน
1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดง ให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

7.ช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ในจำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูง มาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุม ปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะ เนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรค ลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และ กระเพาะอาหารด้วย

12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรก

เล่าขานตำนาน เชิดสิงโต สัญลักษณ์โชคลาภ...รุ่งเรือง





ในเทศกาลตรุษจีน ของทุกปี สิ่งหนึ่ง ที่เรามักเห็นเคียงคู่ กับประเพณีไหว้เทพเจ้า การเผากระดาษเงิน กระดาษทอง การจุดประทัดเสียงดังสนั่น ก็ดูเหมือนจะเป็นการแสดง "เชิดสิงโต" ที่สื่อถึงโชคลาภ และความเป็นสิริมงคล
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การเชิดสิงโตมงคลได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลรื่นเริงต่างๆ ของจีน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปัดเป่าวิญญาณร้าย และพลังงานที่ไม่ดีออกไป พร้อมทั้งดึงดูดโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองเข้ามา มีตำนานมากมายเล่าถึงที่มาของ การเชิดสิงโตจีน และตลอดเวลาหลายร้อยปี ลักษณะของสิงโต ที่ใช้เชิด รวมทั้งท่วงท่าในการกระโดด และโผนทะยานของสิงโตก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทุกวันนี้การเชิดสิงโตก็ยังคงเป็นที่ติดตาตรึงใจผู้คนมากมาย และคณะสิงโตก็มักจะถูกเชิญหรือว่าจ้างให้ไปร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสแห่งความสุขต่างๆ พร้อมกับลูกหลานชาวจีนที่มีสำนึกในวัฒน ธรรมซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลก

สำนักเชิดสิงโตนั้นมี 2 สำนัก คือ สำนักเชิดสิงโตเหนือ และสำนักเชิดสิงโตใต้ การเชิดสิงโตแบบเหนือ โดยทั่วไปจะเชิดเพื่อความบันเทิงในราชสำนัก สิงโตเหนือจะมีสีแดง ส้ม และเหลือง และบางครั้งก็มีขนสีเขียว สำหรับสิงโตตัวเมีย ลำตัวมีขนยาวรุงรัง และมีหัวสีทอง การเชิดสิงโตแบบเหนือจะมีลักษณะเป็นกายกรรม และใช้แสดงเพื่อความสนุกสนานเป็นหลัก
การเชิดสิงโตแบบใต้ จะออกมาในเชิงสัญลักษณ์มากกว่า โดยทั่วไปจะแสดงในพิธีกรรมเพื่อขับไล่วิญญาณร้าย และเรียกโชคลาภมาให้ สิงโตใต้จะมีสีที่หลากหลายออกไป รวมทั้งส่วนหัวมีลักษณะเฉพาะและมีดวงตาใหญ่ มีกระจกบนหน้าผาก และที่กลางศีรษะมีเขา 1 เขา ถิ่นกำเนิดของสิงโตใต้อยู่ที่มณฑลกวางตุ้ง เชื่อกันว่าสิงโตมีเขาของทางใต้ก็คือ "ปิศาจเหนียน"
โฝซาน คือ ชื่อเรียกหรือรูปแบบที่สำนักกังฟูหลายแห่งนำมาใช้ ซึ่งเป็นแบบที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวอันทรงพลัง และท่วงท่าที่แข็งแกร่ง สิงโตจึงกลายเป็นตัวแทนของสำนักกังฟู และจะมีแต่ศิษย์ที่มีฝีมือในระดับสูง เท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เชิดสิงโตได้
จังหวะการก้าวเท้าในการเชิดสิงโตนั้น คือ ลีลากังฟูใต้ ศิลปะการต่อสู้ที่ปรากฏอยู่ใน การเชิดสิงโต จะผสมผสานการกระโดด กระโจน ปีน การรักษาสมดุล และการเตะเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นของศิลปะการต่อสู้กังฟูทั้งสิ้น นอกจากนี้ หัวและเครื่องแต่งกายก็มีน้ำหนักมาก ในการเชิดสิงโตจึงมีการฝึกเรื่องน้ำหนัก ซึ่งเหมือนกับที่พบในการฝึกการใช้อาวุธในวิชากังฟู
สิงโตที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี มีอยู่ 3 ประเภท คือ เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย ทั้งสามนี้ คือ ตัวละครในประวัติศาสตร์จีนที่บันทึกไว้อยู่ในวรรณกรรมคลาสสิกเรื่อง "สามก๊ก" นั่นเอง เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย เป็นพี่น้องร่วมสาบานที่ได้ให้ปฏิญาณร่วมกันว่าจะกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น
ต่อมาก็มีสิงโตอีก 3 แบบเพิ่มเข้ามา คือ สิงโตหน้าเขียวคือ ตัวแทนของจูล่ง (เจ้าจื่อหลง) สิงโตตัวนี้ถูกเรียกว่า สิงโตวีรบุรุษ เพราะว่ากันว่าเขาเป็นผู้ที่ขี่ม้าฝ่ากองทหารนับพันของโจโฉเข้าไปช่วยเหลือบุตร ของเล่าปี่ และต่อสู้กลับออกมา สิงโตสีเหลืองแทนฮองตง (หรือหวงจง) ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็นสิงโตนักสู้ยอดคุณธรรม สิงโตขาวคือ ม้าเฉียว (หรือหม่าเฉา) สิงโตตัวนี้ยังรู้จักในชื่อว่า "สิงโตงานศพ" สิงโตประเภทนี้จะไม่นำมาเชิด ยกเว้นสำหรับพิธีศพของอาจารย์ (ซือฟู) หรือหัวหน้าคนสำคัญของคณะ ซึ่งในกรณีเหล่านี้ ก็จะทำการเผาสิงโตหลังจากเสร็จพิธี ปัจจุบันผู้คนจะชื่นชอบการเชิดสิงโตสีทองหรือสีเงินมากกว่า เพราะสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่ง
เครื่องแต่งกายของ สิงโตประกอบด้วยรูปทรงที่เป็นสัญลักษณ์มากมาย เช่น เขารูปนกนั้นแทนหงส์ หูและหางคือ กิเลน หน้าผากที่โหนกนูน ซึ่งมีกระจกประดับไว้จะเบี่ยงเบนพลังที่ชั่วร้ายออกไป ส่วนเคราที่ยาวนั้นคือ ลักษณะของมังกรเอเชีย นั่นเอง สิงโตจะเดินกลับไปกลับมาในลักษณะเป็นแนวฟันปลา เพื่อหลอกให้ภูต ผี วิญญาณสับสน เพราะชาวจีนเชื่อว่าวิญญาณไม่ดี เหล่านี้จะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง
ปัจจุบันการเชิดสิงโตได้พัฒนากลายเป็นรูปแบบของการกีฬาที่ผู้เชิดจากทั่วโลกมาแข่งขันกันเพื่อตัดสินความเป็นที่ 1 การเชิดสิงโตนำมา ซึ่งการสอดประสานที่สมบูรณ์แบบ ความสง่างาม และความกล้าหาญ โดยทั่วไปแล้วคนเชิดทั้งสองจะต้องทำให้สิงโตมีชีวิต คนหนึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวส่วนหัว ตา และปาก ส่วนอีกคนหนึ่งแสดงท่วงท่าของร่างกาย คนเชิดคนแรกที่ควบคุมส่วนหัวจะเป็นผู้ตัดสินการเคลื่อนไหว ในขณะที่คนที่สองจะต้องเคลื่อนไหวให้ประสานกับคนแรก
การเชิดสิงโตไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหัวสิงโตซึ่งตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามด้วยพู่ ขน และสิ่งตกแต่งที่แวววาวนั้น มีน้ำหนักตั้งแต่ 9-15 กิโลกรัม ซึ่งเป็นภาระที่หนักมากที่จะเชิดให้สูงขึ้นไปบนอากาศ พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา หัวสิงโตโดยทั่วไปแล้วเป็นงานปะกระดาษ (เปเปอร์มาเช่) และไม้ไผ่ เข้ารูปเสร็จสมบูรณ์พร้อมกับดวงตาที่กะพริบได้ และปากที่หุบงับได้
คนเชิดคนแรกจะต้องสามารถควบคุมให้เกิดความสอดประสานที่สมบูรณ์แบบพร้อมๆ กับรับน้ำหนักของหัวสิงโตไว้ด้วยมือของตัวเอง การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าจะมีจังหวะของเสียงดนตรี ที่เล่นไปตามการเคลื่อนไหวของสิงโต กลองจะตามสิงโต ในขณะที่ฉาบและฆ้องจะตามคนตีกลอง กลองสิงโตจะมีขนาดใหญ่มาก และถูกนำมาใช้เฉพาะในการเชิดสิงโตเท่านั้น
เล็ก โตมร ผู้ฝึกสอนการเชิดสิงโต คณะลูกเจ้าพระยา บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้น มนต์เสน่ห์การเชิดสิงโตของไทยว่า มีการ นำเข้ามาเล่นในประเทศไทยเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว และมีเสน่ห์ตรงที่การเชิดที่มีท่วงท่าลีลาไม่เหมือนประเทศอื่น เรียกได้ว่าเป็น สิงโตใจกล้า เวลาเชิดไม่ค่อยกลัวเจ็บ มีการต่อตัวสร้างความตื่นเต้น
การฝึกฝนผู้เชิดส่วนใหญ่จะเริ่มตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบ เรียกว่ามีความยืดหยุ่นดีกว่า โดยจะมีการทำพิธีครอบครูให้ ทั้งนี้ผู้เชิดสิงโตส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกหลานของคณะเชิดสิงโต นั้นๆ ที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นปู่
การเชิดสิงโต นับเป็นอีกหนึ่งศิลปะการแสดงตามแบบฉบับและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวจีน ที่นอกจากจะสื่อถึงความหมายอันเป็นมงคลแล้ว ยังเป็นเสมือนการร่วมกันอนุรักษ์ศิลปะล้ำค่าของจีนให้คงอยู่สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน
สิงโตแซ่ซ้อง ฉลองตรุษ
ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 มกราคม 2552 ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ขอเชิญชมกิจกรรมการละเล่นมงคลฉลองตรุษจีนในชื่อชุด "อลังการงานประลองยุทธ์ สิงโตแซ่ซ้องฉลองตรุษ เสริมสิริมงคลชีวิต รับปีฉลู" พบหลากหลายรูปแบบกิจกรรมมงคล อาทิ การแสดงชุด “เบญจเภรี สะท้านตรุษ" การแสดงการตีกลองเพื่อถือเอาฤกษ์เอาชัยเสริมพลังบารมี และการแสดงเชิดสิงโต ซึ่งในปีนี้ ไฮไลต์ยังอยู่ที่การแสดง "เชิดสิงโตจิ๋ว" ซึ่งจะใช้ผู้เล่นคนเดียวเชิดทั้งหัวและหาง โดยจะใช้ผู้แสดงเป็นคนแคระเป็นผู้แสดงความสามารถในการแสดง นอกจากเชิดสิงโตจิ๋วแล้ว การแสดงสิงโตในปีนี้ ยังจัดให้มีการแสดงชุดพิเศษ คือ "การแสดงเชิดสิงโตเบิกฟ้าสะท้านปฐพี" เป็นการแสดงจากเยาวชน อายุ 11-14 ปี จำนวน 60 คน 30 ตัว ซึ่งการเชิดสิงโตแบบพิเศษนี้ เหมาะสำหรับการทำธุรกิจขนาดใหญ่ จะนำโชคด้านธุรกิจที่ดีมาให้ในปีนั้นๆ ดังเช่น ที่ ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ จีน ไต้หวัน ปักกิ่ง กวางเจา เซี่ยงไฮ้ กระทำกันทุกปีตามธรรมเนียมจีน และที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลตรุษจีน คือ กิจกรรมการแข่งขันสิงโตประเภทเสาดอกเหมย และกลองสิงโต ซึ่งห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้น โดยมีคณะสิงโตชื่อดังจากทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน เพื่อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ผู้ที่สนใจสามารถชมได้ตั้งแต่ วันที่ 16-25 มกราคมศกนี้ โดยการแข่งขันสิงโตประเภทเสาดอกเหมย และกลองสิงโต รอบชิงชนะเลิศจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 24 มกราคม ศกนี้ บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางแค พร้อมชมการแสดงเชิดสิงโตจิ๋ว หรือการโชว์สิงโตเด็ก การแสดงเบญจเภรีได้ระหว่าง วันที่ 26-28 มกราคมศกนี้ ที่หน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ รามคำแหง, ท่าพระ, งามวงศ์วาน, บางแค, และบางกะปิ ตลอดจนรับแจกส้มมงคลสำหรับเทศกาลปีใหม่ของจีนในปีฉลูนี้
































วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

ผักผลไม้ฟอกฟันให้ขาวสะอาดได้



ติดชา กาแฟมานาน ทำให้ฟันเหลืองเป็นคราบไม่น่าดู ครั้นเลิกคาเฟอีนทั้งหมดได้แล้ว แต่ฟันเจ้ากรรมก็ยังไม่ขาวอยู่นั่นเอง ทำอย่างไรดี

โชคดีที่ธรรมชาติได้มอบสิ่งวิเศษสุดที่แสนธรรมดาเอาไว้ให้เรา...คือ พืชผัก ผลไม้ ที่งอกงามขึ้นมาจากผืนดินนั่นเอง จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่ายฝรั่ง แครอต และผักผลไม้สดอื่นๆ อีกหลายชนิด ที่เราจะต้องเคี้ยวมากๆ เวลากิน สามารถทำหน้าที่ได้ดีราวกับผงซักฟอกทีเดียว ทั้งยังมีคุณสมบัติบางประการที่ช่วยให้ฟันดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

ส่วน ผักโขม ผักกาดหอม และบร็อคโคลี่ ก็ช่วยป้องกันคราบไม่ให้เกาะติดได้ง่าย โดยการสร้างเยื่อบางๆ เคลือบผิวฟัน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นเกราะชั้นนอกอีกที

นอกจากนี้ สตรอว์เบอร์รี่ ก็นำมาใช้สีทำความสะอาดฟันได้อย่างอ่อนโยนราวกับยาสีฟัน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยฟอกฟัน ทั้งยังขจัดคราบเหลืองของน้ำชากาแฟได้ด้วย โดยบิบผลสตรอว์เบอร์รี่สีแดงผลหอมหวานออก แล้วนำเนื้อผลไม้นุ่มๆ นั้นขัดถูลงบนผิวฟันโดยตรง

แหม...กินแล้วทำให้เราสวยได้ทั้งจากภายใน เพราะได้รับวิตามินและกากใย ทำให้ดูดีจากภายใน แล้วยังทำให้เราดูดีจากภายนอก เพราะฟันขาวสะอาด ได้ประโยชน์สองต่อขนาดนี้ นึกออกแล้วใช่ไหมคะว่าวันนี้จะซื้อผลไม้อะไรกลับบ้านบ้าง

บำบัดเท้ากันเถอะ



"เท้า" เป็นอวัยวะที่ถือว่าทำงานหนักสุดๆ ในทุกๆ วัน ต้องทำหน้าที่พาเราเดินไปทำกิจกรรมต่างๆ แม้กระทั่งยืนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้เท้าล้าได้เหมือนกัน ฉะนั้น การบำบัดเท้าให้ได้รับการผ่อนคลาย จึงเป็นการถนอมสุขภาพเท้าที่ดีที่สุด

สำหรับขั้นตอนการบำบัดนั้น ง่ายนิดเดียว หนุ่มๆ สาวๆ ที่ชอบเดิน แต่อาจละเลยการดูแลไป สัปดาห์นี้ "เกร็ดน่ารู้" มีวิธีแนะนำการถนอมเท้ามาฝาก

1. ระหว่างวัน มีรองเท้าแตะแบบนุ่มๆ ประจำโต๊ะทำงานสัก 1 คู่ เอาไว้เปลี่ยนเวลานั่งทำงาน ก็ช่วยให้เท้าสบาย และผ่อนคลายขึ้น

2. หลังจากกลับบ้าน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เดินเท้าเปล่าบนพื้นหญ้า เพื่อช่วยกระตุ้นจุดต่างๆ และระบบประสาท ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่เท้าดีขึ้น และเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อฝ่าเท้า

3. ก่อนนอน แช่เท้าด้วยน้ำอุ่น ประมาณ 10 นาที จะช่วยให้เท้านุ่มขึ้น หลังจากนั้นเช็ดให้แห้ง แล้วทาโลชั่น เพิ่มความชุ่มชื่น

4. หลังอาบน้ำ นวดเท้าเบาๆ เพื่อความผ่อนคลาย และกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต

หลักปฏิบัติง่ายๆ ข้างต้น จะช่วยให้อาการปวดเมื่อยเท้า หรือบริเวณฝ่าเท้าทุเลาลง ถ้าจะให้ดีควรดูแลบำบัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพเท้าที่ดี แข็งแรง พร้อมรับภารกิจพาเราเดินในทุกๆ วัน

รีดแคลอรีส่วนเกิน



ความอ้วนกับสาวๆ มักเป็นของ (ไม่คู่กัน) โดยเฉพาะวัยทีนทั้งหลาย จะกังวลกับเรื่องรูปร่างเป็นพิเศษ หลายคนถึงขนาดอดอาหารจนหิว หรือไม่ก็โหมออกกำลังกายจนหนักหน่วง แต่รู้หรือไม่? อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดแคลอรีส่วนเกินนั้น มาจากพฤติกรรมประจำวันของเรานี่เอง

"เกร็ดน่ารู้" สัปดาห์นี้ มีวิธีลดแคลอรี่ไม่พึงประสงค์มาฝาก ขอบอกว่าง่ายๆ แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเท่านั้นเอง

1. ไม่ควรงดอาหาร ไม่ว่าจะมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้หิวและทานมื้อถัดไปมากขึ้น ที่สำคัญไม่ควรงดอาหารเช้า เพราะอาหารเช้าจะช่วยให้ทานอาหารมื้ออื่นๆ ได้น้อยลง

2. ทานอาหารให้อิ่มพอดี ไม่ควรทานจนรู้สึกอึดอัด หรือหลายคนเสียดายอาหารที่เหลือ แต่นั่นแหละ คือ ตัวการเพิ่มแคลอรี ทางที่ดีควรกำหนดปริมาณอาหารที่จะรับประทานแต่ละมื้อให้พอเหมาะ โดยการตักแต่พอดี และระว่างทานควรเคี้ยวช้าๆ จะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น

3. กินน้ำ/ลูกอม แทนขนม ในระหว่างวันหากรู้สึกหิว ลองเปลี่ยนจากการทานขนมเป็นน้ำเปล่า หรือลูกอมแทน ในส่วนของลูกอมนั้นมี 20 แคลอรี ช่วยให้หายหิวได้ประมาณ 20 นาที แต่! ไม่ควรทานเป็นของจุกจิก เพราะความหิวหายไปจริง แต่ฟันผุอาจมาเยือนแทน

4. ใช้บันไดแทนลิฟต์ หากห้องเรียนหรือห้องทำงาน อยู่บนชั้นที่ไม่สูงมากก็ควรใช้บันได หรือหากอยู่บนชั้นสูงๆ ควรออกจากลิฟต์ก่อนถึงชั้นที่อยู่ประมาณ 2 ชั้น แล้วชั้นที่เหลือใช้เดินขึ้นบันไดแทน เพราะการเดิน 5-10 นาที เป็นวิธีช่วยเผาผลาญแคลอรีระหว่างวันได้ดี

5. พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนดึกจะยิ่งทำให้อยากทานของจุกจิก ตรงกันข้ามหากได้นอนเต็มที่ ร่างกายจะสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้มากขึ้นจากปกติถึง 40%

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมข้างต้น มีส่วนช่วยลดแคลอรีส่วนเกินที่ไม่พึงประสงค์ของสาวๆ ได้อย่างดี ที่สำคัญเป็นวิธีไดเอทที่ไม่ต้องอด ทั้งยังรักษาสมดุลให้ร่างกายแข็งแรง สดใสอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

พฤติกรรมทำร้ายกระดูกสันหลัง



อิริยาบถที่เราใช้อยู่ทุกวัน อาจจะทำร้ายกระดูกสันหลังของคุณอย่างไม่รู้ตัว ไปดูกันซิว่าพฤติกรรมใดที่ส่งผลเสียต่อกระดูกสันหลังของคุณบ้าง

1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ 5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

8 ความลับของสาวผอมพรียว



ทำตัวให้เหมือนกับว่าคุณรูปร่างผอมเพรียว แล้วคุณก็จะผอมได้เช่นกัน

เราทุกคนคงต่างก็มีเพื่อนรูปร่างผอมบางกัน อย่างน้อยก็คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เคยอ้วนขึ้นเลยสักที นั่นเพราะผลจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนที่มีรูปร่างผอมบางมักไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารแบบเดียวกับคนอื่นๆ พวกเธอจะผ่อนคลายกับการกิน ขณะที่คนซึ่งน้ำหนักเกินส่วนใหญ่มักจะหมกหนุ่มกับเรื่องการกินมากกว่า ลองมาแอบดูว่าคนผอมๆ ทำหรือไม่ทำอะไร แล้วคุณจะเลียนแบบพวกเธอได้ยังไงบ้าง

1. พวกเธอเลือกอาหารที่ทำให้พึงพอใจมากกว่าอิ่มจนแน่นท้อง

ในอัตราส่วนความอิ่มจาก 1 ถึง 10 ผู้หญิงรูปร่างผอมจะหยุดกินเมื่อถึงระดับ 6 หรือ 7 ขณะที่คนส่วนมากมักกินต่อไปจนถึงระดับ 8 หรือ 10 มันอาจเพราะคุณสำคัญผิดระหว่างความอิ่มกับความพึงพอใจ หรือคุณอาจเคยชินกับการกินทุกอย่างตรงหน้าจนหมดเกลี้ยงไม่ว่าคุณจะต้องการมันจริงๆ หรือไม่ก็ตาม

วิธีเลียนแบบ เพื่อกินแบบเดียวกับผู้มีรูปร่างผอม วางช้อนลง และประเมินความอิ่มจากอัตราส่วน 1 ถึง 10 ทำแบบเดียวกันอีกครั้ง เมื่อเหลือสักห้าคำ เป้าหมายก็คือเพิ่มความรู้ตัวถึงความพึงพอใจของตัวเองในระหว่างการกิน (มันยังทำให้คุณกินช้าลงซึ่งให้โอกาสความอิ่มส่งสัญญาณเข้ามา)

2 . พวกเธอรู้ว่าความหิวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

คนส่วนใหญ่ที่ดิ้นรนกับเรื่องน้ำหนักตัวมักมองความหิวเป็นสิ่งที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้น ถ้าคุณกลัวความหิว คุณอาจกินมากเกินไปอยู่เสมอ แต่คนผอมๆ จะทนได้มากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงมัน

วิธีเลียนแบบ เลือกวันที่ยุ่งๆ เพื่อชะลอเวลาอาหารกลางวันออกไปอย่างจงใจสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง หรือลองพยายามงดของว่างมื้อบ่ายสักหนึ่งวัน คุณจะเห็นได้ว่าตัวเองก็ยังสบายดีอยู่ จากนั้น ครั้งต่อไปที่คุณได้ยินเสียงท้องร้อง คุณจะหยุดตัวเองไม่ให้ตรงดิ่งไปยังตู้เย็นในทันทีได้

3. พวกเธอไม่ใช้อาหารเพื่อเยียวยาอารมณ์เศร้า

ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรูปร่างผอมบางมีภูมิด้านทานต่อการกินตามอารมณ์ แต่พวกเธอมักจะรู้ตัว เวลาที่ทำอย่างนั้นและหยุดมันได้

วิธีเลียนแบบ ถ้าคุณหิวจริงๆ กินของว่างที่มีประโยชน์ อย่างเช่นถั่วหนึ่งกำมือ เพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ ก่อนรออาหารมื้อต่อไป แต่ถ้า คุณหงุดหงิด เหงา หรือเหนื่อย ลองหาทางออกที่ปราศจากแคลอรี่ เช่น ออกไปวิ่งหรือกระโดดโลดเต้นไปมารอบๆ อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ความโกรธหายไป เหงาก็โทรหาเพื่อน หรือไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าหรือถ้าเหนื่อยก็ไปนอนเสียดีกว่า

4. พวกเธอกินผลไม้มากกว่า งานวิจัยเมื่อปี 2006 ใน Journal of the American Dieletic Association ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงรูปร่างผอมบาง มักกินผลไม้มากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละวัน กินเส้นใยอาหารมากกว่าและกินไขมันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนอ้วน

วิธีเลียนแบบ ลองเริ่มสำรวจการกินของคุณเพื่อหาทางเพิ่มผลไม้ (ไม่ใช่น้ำผลไม้นะ) เข้าไป ตั้งเป้ากินให้ได้สองหรือสามส่วนต่อวัน เช่น เพิ่มผลไม้ลงไปในอาหารแต่ละมื้อ หรือกินผลไม้เป็นของหวาน

5. พวกเธอสร้างความเคยชิน

การกินอาหารหลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหลากหลายมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินอาหารที่มีรสชาติแตกต่างกันมากเกินไปทำให้คุณยิ่งกินมากขึ้น คนผอมมักจะมีรูปแบบของการกินที่วางแผนมาแล้วอย่างดี มีของแปลกๆ เพิ่มเข้ามา 2-3 อย่าง แต่ส่วนใหญ่อาหารของพวกเธอจะคาดเดาได้

วิธีเลียนแบบ ลองกินอาหารหลักๆ ซ้ำกันในแต่ละมื้อ เช่น กินซีเรียลตอนเช้า กินสลัดตอนกลางวัน กินปลาตอนเย็น เป็นต้น มันโอ.เค. ที่จะเพิ่มทูน่าหรือไก่ย่าง เข้าไปกับสลัดผักในบางวัน แต่การกินกับอาหารหลักๆ ที่เดาได้ คุณจะจำกัดโอกาสที่จะกินมากเกินไปได้

6. พวกเธอรู้จักการควบคุมตัวเอง

งานวิจัยที่มหาวิทยาลัย Tufts พบว่า ปัจจัยที่ทำนายได้ถึงการมีน้ำหนักขึ้นของผู้หญิงในวัย 50 และ 60 คือระดับของความยับยั้งชั่งใจ ผู้หญิงที่มีความยับยั้งชั่งใจสูงจะมีดัชนิมวลกายต่ำกว่า

วิธีเลียนแบบ เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่คุณมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างมาก เช่น ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองหรือเวลาอยู่กับเพื่อน ถ้าคุณชอบกินตอนงานเลี้ยง บอกตัวเองว่าคุณจะกินของว่างแค่หนึ่งชิ้นในรอบที่สี่ ซึ่งมันถูกส่งผ่านมา ถ้าคุณกินมื้อค่ำนอกบ้านลองสั่งอาหารมาแบ่งกันกับเพื่อน หรือถ้าคุณเครียด ก็ให้แน่ใจว่าคุณมีของว่างที่เคี้ยวได้ (อย่างเช่น ผลไม้หรือแครอตแท่ง) เอาไว้ใกล้มือ

7. พวกเธอชอบเคลื่อนไหว

โดยเฉลี่ยผู้หญิงรูปร่างผอมจะยืนมากกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งในแต่ละวัน ที่สามารถช่วยเผาผลาญได้ 33 ปอนด์ต่อปี นี่เป็นผลจากการศึกษาของลินิกเมโย ในเมืองโรเชลเตอร์ สหรัฐฯ

วิธีเลียนแบบ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนเรามักประเมินความแอ็คทีฟของตัวเองเกินจริง คนส่วนใหญ่มักใช้เวลา 16-20 ชม. ในแต่ละวันไปกับการนั่ง ใส่เครื่องนับก้าวเพื่อดูว่าคุณเข้าใกล้จำนวน 10,000 ก้าวแค่ไหน และในแต่ละวันคุณควรออกกำลัง 30 นาที รวมกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่น การเดินขึ้นบันได

8. พวกเธอนอนหลับสนิท

ผู้หญิงที่ผอมบางมักนอนมากกว่า 2 ชม. ต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับคนน้ำหนักเกิน งานวิจัยของโรงเรียนแพทย์อีสเทิร์นเวอร์จิเนียบอกเช่นนั้น นักวิจัยเชื่อว่าการนอนน้อยทำให้ระดับของฮอร์โมนที่ช่วยกดความอยากอาหาร (Lepfin) ต่ำลง และระดับของฮอร์โมนที่เพิ่มความอยากอาหาร (Ghrelin) สูงขึ้น

วิธีเลียนแบบ ลองชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็คือประมาณ 17 นาที/ต่อวัน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายกว่ามาก แม้คุณจะงานยุ่งเพียงใดก็ตาม เริ่มต้นตรงนั้นและค่อยๆ เพิ่มเวลานอนให้ได้วันละ 8 ชม. ในแต่ละคืน ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใหญ่ส่วนมาก

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

ความเชื่อ VS ความจริงของข้อห้ามระหว่างมีรอบเดือน



หลายคนคงจะเคยได้ยินความเชื่อเกี่ยวกับการมีประจำเดือนต่างๆ นานา อาทิเช่น เวลามีประจำเดือนห้ามรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็น หรือห้ามออกกำลังกายเวลาที่ประจำเดือน ซึ่งความเชื่อต่างๆ เหล่านี้อาจจะมีบางความเชื่อที่ถูกและบางความเชื่อที่ผิด วันนี้เราจะมาไขปริศนานี้กันค่ะ

1. ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่อดีต เมื่อเวลาที่มีประจำเดือนนั้น ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการแปรปรวน ภูมิคุ้มกันลดลง การอาบน้ำเย็นจะทำให้ร่างกายต้องปรับอุณหภูมิตาม อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีประจำเดือนนั้นสามารถอาบน้ำเย็นในระดับอุณหภูมิปกติได้

2. ห้ามรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็น บางคนประจำเดือนมาทีไรเป็นต้องหลีกเลี่ยงการกินน้ำแข็งหรือของเย็นทุกที นั่นเป็นเพราะความเชื่อที่มีมาแต่เดิม แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถที่จะรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็นได้ตามปกติ ในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป (แต่ชาวชีวจิตไม่กินของเย็นอยู่แล้วนี่)

3. ห้ามออกกำลังกายเวลามีประจำเดือน เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะความจริงแล้วการออกกำลังกายหากออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา สารนี้จะทำให้เราเกิดความสุข ช่วยผ่อนคลายความเครียด และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงเป็นวิธีป้องกันอาการผิดปกติ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการมีประจำเดือนได้

4. ห้ามมีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีประจำเดือน สำหรับความเชื่อในเรื่องนี้คงจะไม่ใช่ข้อห้าม แต่ก็ควรจะระมัดระวังในเรื่องความสะอาดให้มากกว่าปกติ เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นควรที่จะรักษาความสะอาดเป็นพิเศษทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

5. ห้ามลงเล่นน้ำ ความเชื่อนี้หลายคนคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะเรื่องความสะอาด เพราะในน้ำนั้นอาจจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนอยู่ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นถ้าใครที่อยากจะลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำก็คงจะต้องเลือกสระว่ายน้ำที่สะอาด เลือกช่วงเวลาที่ไม่มีคนใช้บริการมากนัก และก็ควรที่จะใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก่อนที่จะลงว่ายน้ำ

ทีนี้ก็หายข้องใจกันเสียทีว่า ความเชื่อไหนที่ทำได้และความเชื่อไหนที่ทำไม่ได้

บทพิสูจน์รักแท้



อยากทราบหรือไม่ว่า ความรักของเรานั้นเป็นรักแท้หรือเปล่า วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีบทพิสูจน์รักแท้มาบอก...

1. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัสกับความสุขร่วมกับคนๆ นั้นเมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกล ไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงาๆ และคิดถึง

2. ต้องให้ความเคารพนับถือคนๆ นั้น ถ้าจะรักใครสักคนถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาดูถูกและไม่เคยให้ความเคารพในความเป็นเขา แล้วคนอื่นๆ จะเคารพคนๆ นั้นของเราได้อย่างไร และเราจะภูมิใจหรือ กับการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใครๆ เขาดูถูก

3. ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิตมั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะตกตึก ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยฉุด

4. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไปเพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน

5. ต้องเข้าถึงความต้องการอารมณ์และความรู้สึกของคนๆ นั้น อย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียวตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเองด้วยความเต็มใจ

6. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคนๆ นั้น

7. ต้องรู้สึกว่าเราสามารถจะพูดคุยกับคนๆ นั้นได้ทุกเรื่อง คุยอย่างเปิดอก สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจ ขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้ว เราจะอับอายหรือไม่ ก็กลัวว่าเขาได้ยิน แล้วจะผงะหงายแล้วเดินหายไปจากชีวิต

8. ต้องรู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ ถ้าไม่มีเขาสักคนชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป

9. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆ นั้นในหลายๆ ด้าน ทั้งความคิดอารมณ์และเวลาแต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง

10. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดีหรือเป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีรักแท้

ถ้าอยากรู้ว่าความรักของคุณที่มีอยู่ตอนนี้เป็นรักแท้โดยสมบูรณ์หรือไม่ ลองนำบทพิสูจน์นี้ไปพิสูจน์กันดูได้

4 วิธีดับรสเผ็ดร้อนจากพริก



โอ๊ย...เผ็ดๆๆ น้ำตาจะไหลแล้ว ส้มตำจานนี้เผ็ดจังเลย ดื่มน้ำไปตั้งหลายแก้วก็ยังไม่หายเสียที ถ้าอย่างนั้นฉันขอน้ำเย็นอีกสักแก้วสิเธอ"

หยุดก่อนค่ะ อาจเป็นความเข้าใจผิดของใครหลายๆ คนที่เคยเกิดอาการเช่นนี้ และแก้ไขด้วยการดื่มน้ำเย็น คุณเคยสงสัยไหมว่าถึงแม้เราจะดื่มน้ำไปหลายแก้วก็ยังไม่หายเผ็ดเสียที แถมยิ่งรู้สึกเผ็ดมากขึ้นด้วยซ้ำนั้นเป็นเพราะอะไร

รสชาติอันเผ็ดร้อนของพริกนั้นมาจากสารประกอบเข้มข้นที่มีชื่อว่า แคปไซซิน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแก่นสีขาวใจกลางพริกและเมล็ดพริก นอกจากนี้ยังกระจายไปทั่วเนื้อพริก เมื่อเรากินอาหารที่มีพริกเข้าไป แคปไซซิน จะทำให้เกิดรสชาติเผ็ดร้อนในปาก จนทำให้น้ำมูกน้ำตาไหลได้ ดื่มน้ำเย็นเข้าไปก็จะยิ่งกระจายสาร แคปไซซิน ซึ่งเป็นตัวการความเผ็ดไปทั่วปาก จึงทำให้เรารู้สึกเผ็ดมากขึ้น

ในขณะที่บางคนลงครัวช่วยคุณแม่ทำกับข้าวและหั่นพริก ก็อาจจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่มือได้เพราะสัมผัสกับแคปไซซินที่ทำให้ระคายเคืองผิวเข้าให้ เรามี 4 วิธีการดีๆ ที่ช่วยดับความเผ็ดร้อนของพริกมาฝากคุณค่ะ

1. ใช้ความหวานเข้าช่วย เคี้ยวโดนเม็ดพริกขี้หนูเข้าไปเต็มปาก ต้องใช้ความหวานของอาหารใกล้ๆ ตัว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวเหนียว หรือขนมปังโฮลวีทนุ่มๆ ที่ช่วยคุณได้ เพราะความหวานของอาหารเหล่านี้จะช่วยดูดซับสารแคปไซซินที่ทำให้เกิดความเผ็ดร้อนให้หมดไป

2. ผลไม้แก้เผ็ด ใช้วิธีดื่มน้ำมะนาวหรือน้ำมะเขือเทศสดๆ จะช่วยแก้เผ็ดได้เช่นกัน เพราะกรดจากผลไม้เหล่านี้จะไปทำปฏิกิริยากับสารดังกล่าว ซึ่งเป็นด่าง ทำให้ความเผ็ดลดลง

3. เกลือบรรเทาปวดแสบร้อน หากคุณหั่น ซอย หรือว่าเด็ดพริกขี้หนู แล้วแสบร้อนไปทั่วบริเวณนิ้ว หรือมือที่สัมผัสกับพริกขี้หนู แก้ได้ไม่ยากค่ะ โดยนำเกลือแกงที่เราใช้ปรุงอาหาร สักหนึ่งช้อนแกง ลูบลงบนมือถูไปถูมา ความแสบร้อนก็จะคลายลงค่ะ

4. ลูบถูแป้งคลายร้อน หากหยิบเลือกพริกจนมือรู้สึกแสบร้อนแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยคุณได้ ลองใช้แป้งเด็กทาตัว หรือแป้งหมี่ที่เราใช้ทำอาหาร ลูบถูไปมาตรงบริเวณมือและนิ้วที่รู้สึกแสบร้อน สักครู่ก็จะรู้สึกดีขึ้นค่ะ เพราะฤทธิ์เยอะ เยียวยายากอย่างนี้เอง ชีวจิตจึงไม่แนะนำให้กินรสจัด ถ้ายังไม่เชื่อก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็ต้องทนเผ็ดกันไปนะคะ

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

5 เหตุผลดีๆ ที่คุณควรออกกำลัง



การออกกำลังทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นในหลายด้าน และหนึ่งในเหตุผลที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ ผลของมันที่มีต่อรูปลักษณ์ของเรา ใครก็ตามไม่ว่าจะสวยหรือไม่ แค่ไหน ก็สามารถดูดีขึ้นได้อย่างมากด้วยการออกกำลัง และนี่คือผลประโยชน์บางอย่างจากการออกกำลัง

1. ผิวของคุณจะดูดีขึ้น การออกกำลังมีผลในแง่บวกหลายอย่างต่อผิวของเรา มันช่วยเติมสีสันให้พวงแก้ม ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นจากการไหลเวียนโลลิตที่ดีขึ้น และมันยังทำให้ผิวของคุณกระชับขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันความหย่อนยานหรือริ้วรอยได้ด้วย

2. ขนาดร่างกายของคุณจะสมส่วน การออกกำลังเป็นประจำจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีส่วนเกินและลดน้ำหนักได้ คุณจะค่อยๆ มีขนาดร่างกายที่เหมาะสมกับส่วนสูงและโครงสร้างร่างกายของคุณ มันจะทำให้ความมั่นใจของคุณเพิ่มขึ้น และคุณก็จะดูดีขึ้นตามไปด้วย

3. ผมของคุณจะแข็งแรงกว่าเคย การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้มีการสูบฉีดโลหิตไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหนังศีรษะด้วย รากผมจะได้รับอาหารจากเลือดที่เต็มไปด้วยออกซิเจน และช่วยกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำลายเส้นผมของคุณ

4. ดวงตาของคุณจะแจ่มใสขึ้น นี่เป็นผลของการไหลเวียนโลหิตที่ดีเช่นกัน มันจะทำให้ดวงตามีความชุ่มขึ้นและแจ่มใส นอกจากนี้ การใช้สายตาจับจ้องไปข้างหน้าตลอดเวลาของการออกกำลัง ทำให้ได้มีการออกกำลังกล้ามเนื้อดวงตา ที่ทำให้มันแข็งแรงขึ้นด้วยเช่นกัน

5. กล้ามเนื้อจะดีขึ้น การออกกำลังแต่ละอย่างจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณกระชับขึ้น และดูเพรียวขึ้น เสื้อผ้าจะเข้ากับรูปร่างได้อย่างสวยงาม และคุณก็จะดูฟิตมากขึ้นด้วย

3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า



อาหารเช้าสำคัญต่อสมองมากกว่ามื้อ ไหนๆ นักโภชนาการชาวออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาวัยรุ่น 800 คน พบว่า การได้รับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีสารอาหารบางประเภทช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง โดยพบว่าทำคะแนนในห้องเรียนได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพสมองแล้ว วิธีทำก็แสนง่ายแบบที่ไม่ต้องกวนคุณแม่ และไม่เสียเวลาเตรียมมากนัก มาลองทำกันเลย

สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน

สูตรที่ 2 โยเกิร์ต แบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่างๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน

สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสด
ส่วนผสมหลักๆ บอกไปแล้วนะคะ ส่วนใครจะมีเคล็ดลับอะไร ก็สามารถเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ อร่อยกันแล้ว อย่าลืมเพิ่มพลังสมองอีกทางด้วยการออกกำลังกายนะคะ

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

2009 อาหารปีใหม่ คุณค่าที่มากับความเชื่อ



หลายๆ ประเทศเชื่อว่า อาหารที่กินในวันปีใหม่มีความสำคัญ และมีผลต่อการดำเนินชีวิตตลอดทั้งปี เรามาดู่วา แต่ละประเทศมีความเชื่อในเรื่องนี้อย่างไรกันบ้าง

องุ่นแห่งความโชคดีของชาวสเปน

ประเทศสเปนทำไร่องุ่นมากที่สุดในโลก และได้ผลผลิตจำนวนมาก ชาวสเปนจึงกินองุ่น 12 ผลไปพร้อมกับเสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนในวันสิ้นปี เพื่อต้อนรับความโชคดีตลอด 12 เดือนข้างหน้า

เนเธอร์แลนด์ โดนัทแห่งความบริบูรณ์

ชาวดัตช์เชื่อว่า การกินโดนัทซึ่งมีลักษณะกลมแบบวงแหวน จะทำให้โชคดี และมีชีวิตครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนรูปร่างของอาหาร

กรีซ St. Basil's cake แห่งความสุข

ในวันปีใหม่ ชาวกรีกจะทำเค้กสอดใส้เหรียญเงินชิ้นใหญ่ (St.Basil's cake) กินในครอบครัวเพื่อรำลึกถึงนักบุญบาซิล ผู้มีความเมตตาต่อคนยากจน ซึ่งถึงแก่กรรมในวันที่ 1 มกราคม เชื่อกันว่าสมาชิกคนใดที่พบเหรียญเงินในชิ้นเค้กนั้นจะโชคดีตลอดปี

โซบะญี่ปุ่น อายุยืนหมื่นปี

คนญี่ปุ่นนิยมกินบะหมี่ไม่ตัดเส้นที่ชื่อ "โทชิโคชิ โซบะ" ต้อนรับปีใหม่ เพราะเชื่อว่า จะทำให้อายุยืนยาวเหมือนเส้นบะหมี่

จีน กินปลากินไก่ ให้ความมั่งคั่ง

ชาวจีนนิยมกินปลาในเทศกาลปีใหม่ เพราะเสียงของคำนี้ในภาษาจีนพ้องกับคำว่า "เหลือเฟือ" จึงเชื่อว่าจะทำให้มีเหลือกินเหลือใช้ตลอดทั้งปี และการกินไก่ทั้งตัวโดยไม่ตัดส่วนใดออก ก็จะทำให้ชีวิตครบถ้วนสมบูรณ์และมั่งคั่งอีกด้วย

อิตาลี ความมั่งมีในถั่วเลนทิล

ชาวอิตาลีกินถั่วเลนทิลในวันแรกของปีเพราะถั่วเลนทิลมีรูปร่างคล้ายเหรียญเงิน จึงเป็นสิ่งนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้

อเมริกา ถั่วตาดำกับความร่ำรวย

ถั่วตาดำ (Black eyed pea) เป็นอาหารนำโชคของชาวอเมริกัน เพราะเมื่อปรุงสุกแล้ว จะมีสีและลักษณะคล้ายเหรียญเงิน แสดงถึงความร่ำรวย

แพ้ยุง ทำไงดี?



มีหลายคนถูกยุงกัดแล้วเกิดอาการคัน พอคันก็ยิ่งเกาๆๆ พอเกาก็เกิดเป็นแผล ส่งผลให้แขนขาลาย กลายเป็นจุดด่างดำ และรอยแผลเป็น จนบางคนสูญเสียความมั่นใจเวลาสวมใส่กางเกงขาสั้น หรือกระโปรงสั้นๆ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.ป่วน สุทธิพินิจธรรม คณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในฐานะแพทย์โรคผิวหนัง บอกว่า คนเราที่เกิดมาบนโลกนี้ มีระบบภูมิคุ้มกันภายในตัวที่จะโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อมที่ไปสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสารเคมี สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ ความร้อน ความเย็น

เวลาที่เราโดนยุง หรือแมลง สัตว์ กัด ต่อย แมลงจะปล่อยสารเคมี หรือพิษเข้าไปในร่างกายของเรา ในคนที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรงก็จะเกิดอาการคัน เป็นตุ่มแดง ถึงขั้นพองก็มี โดยขึ้นอยู่กับพิษของแมลง หรือสิ่งมีชีวิตที่มากัด ต่อยเรา

ถ้าแมลงมีพิษรุนแรง กัด ต่อย ปุ๊บจะเกิดอาการบวมทันที ถ้าพิษไม่รุนแรงมากแต่การโต้ตอบรุนแรงก็เกิดอาการบวมเหมือนกัน ตรงนี้เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบของสิ่งแวดล้อมกับตัวมนุษย์

คนที่มีอาการคัน เป็นตุ่มแดง เวลาถูกยุงกัด ตามแขน ขา ในบ้านเราจะมีเยอะมาก โดยเฉพาะ เด็กๆ จะพบบ่อย ถึงขั้นแขนขาลาย ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า ผื่นแพ้ยุง แมลง และสารเคมี

หลายคนอาจสงสัยว่า แค่ยุงกัดธรรมด๊า ธรรมดา แต่ทำไมมีอาการรุนแรง ทั้งนี้เป็นเพราะน้ำลายยุงมีสารเคมีอยู่ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และเกิดอาการคัน ถ้าเกิดอาการคันแล้ว ไม่ไปแกะเกา คงไม่ เป็นไร ดังนั้นคนที่โดนยุงกัดแล้วมีปฏิกิริยารุนแรง เรื่องของจิตใจก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพราะถ้าคิดว่าคันแล้วจะต้องแกะต้องเกาๆๆ เพื่อให้หายคัน ก็จะยิ่งทำให้เกิดแผล

สำหรับคนที่โดนยุงกัด มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้

1. ห้ามแกะเกาเด็ดขาด

2. ควรรีบฟอกล้างบริเวณที่ถูกกัดด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ

3. ใช้ผ้าเย็นประคบไม่ให้เกิดอาการคัน

4. ทายาแก้คันหรือรับประทานยาแก้คัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการรุนแรง โดยแพทย์จะเป็นคนเลือกยาให้ตามความเหมาะสมของคนไข้แต่ละคน

5. กรณีมีตุ่มหนอง ควรทายาปฏิชีวนะ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นแผล เพราะเมื่อแผลหายแล้วอาจจะทิ้งรอยด่างดำ และเป็นแผลเป็นได้

ในระยะยาวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการแพ้ยุงอีก ควรระมัดระวังไม่ให้โดนยุงกัด เช่น นอนกางมุ้ง กำจัดยุงในบ้าน หรือ อาจใช้ยาทาป้องกันยุงตามความเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม คนไข้ควรเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาทั่วโลก ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน มียุง และแมลงเยอะ เมื่อโดนกัด ในบางคนอาจจะเกิดอาการแพ้ได้ง่าย ซึ่งมีเรื่องของพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่บางคนอาจเกิดภูมิต้านทาน สามารถปรับตัวได้ ปฏิกิริยาที่เคยรุนแรงก็จะรุนแรงน้อยลง หรือไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

ท้ายนี้ขอย้ำว่า หากท่านผู้อ่านไม่อยากแขนขาลาย ก็ต้องท่องจำคำแนะนำของ รศ.นพ. ป่วน เอาไว้ให้ขึ้นใจ แต่ถ้าจะให้ดี คือ การป้องกันไม่ให้ยุงกัด เพราะนอกจากอาการแพ้แล้ว ยุงอาจนำโรคร้ายมาสู่ท่านก็เป็นได้

พริกป่น เสี่ยงต่อสารอะฟลาท็อกซิน ไม่แพ้ ถั่วลิสง



รู้หรือไม่ ถ้าเราเก็บรักษา "พริกป่น" ไม่ดีโดยปล่อยให้มีความชื้น จะส่งผลให้เกิดสารอันตราย "อะฟลาท็อกซิน" ได้ไม่แพ้ "ถั่วลิสง" แล้วพริกป่นสำเร็จรูปที่เราทานกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันล่ะ จะปลอยภัยต่อสุขภาพแค่ไหนกัน

เกิดเป็นไทยกินอาหารอะไรก็ต้องแซ่บไว้ก่อน "พริก" จึงกลายเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่คนไทยขาดแทบไม่ได้ แถมยังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ สามารถพัฒนาในระดับอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ยา ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ยาฆ่าแมลง ส่วนผสมของสายเคเบิ้ล หรือผลิตภัณฑ์แก้ง่วง

พริกป่น เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน แต่พริกป่นนั้น จำเป็นต้องเก็บไว้ในที่แห้งสนิท เพราะเกิดเชื้อรา ง่าย เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นแต่เราบริโภคเข้าไป ก็จะได้รับสารอะฟลาท็อกซิน เป็นของแถม จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า พริกป่นเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อการเกินสารอะฟลาท็อกซินได้ง่าย ไม่แพ้ถั่วลิสง ยิ่งในปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าพริกป่นจากต่างประเทศมากขึ้น ความเสี่ยงจึงมีมากขึ้นตามไปด้วย เพราะผู้บริโภคขาดข้อมูลแหล่งผลิตสินค้า

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง เราจึงเก็บตัวอย่าง "พริกป่น" ที่บรรจุในซองสำเร็จรูป 2 ยี่ห้อยอดนิยม ได้แก่ "ไร่ทิพย์" และ "ข้าวทอง" พร้อมด้วยพริกป่นบรรจุซองขายในห้างอีก 5 ยี่ห้อ ได้แก่ ตราเจเจ ตราบางช้าง ตรามือที่ 1 ตรานักรบและตราศาลาแม่บ้าน รวมทั้งพริกป่นแบบแบ่งขายใตตลาดสด จากนั้นไปนำส่งห้องทดสอบ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาสารอะฟลาท็อกซิน

ผลการทดสอบ

พบการปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซิน ในพริกป่นเกือบทุกตัวอย่าง แต่ปนเปื้อนในปริมาณไม่มากจนน่าห่วง คือ พบน้อยกว่าที่ อย.กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ ตามปกติแล้วเรามักไม่บริโภคพริกป่นในปริมาณมาก เพียงแค่เติมเพื่อชูรสชาติเท่านั้น จึงไม่น่ากังวลต่อการบริโภค

อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรประมาท ทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการเลือกพริกแห้งมาคั่วพริกป่นทานเอง หากซื้อจากแม่ค้า ก็ควรเลือกซื้อจากเจ้าที่เชื่อถือได้และหมุนเวียนสินค้าไว

คำแนะนำ

1.ควรเก็บพริกป่นในที่แห้งสนิทและใช้ช้อนกลางตักเสมอ

2.ไม่ควรซื้อพริกป่นในปริมาณมาก เพื่อเก็บไว้ทานนานๆ

3.พริกป่นที่ทำเอง จะสะอาดและเผ็ดกว่าที่ทำขาย เราสามารถทำเองได้ง่ายๆ โดยการนำพริกสดไปตากแห้งแล้วคั่วจนหอม จากนั้นให้นำใส่เครื่องปั่นหรือโขลกให้แหลก

4.ควรเลือกซื้อพริกป่นจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบวันผลิตทุกครั้ง

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

กำแพงของความรู้สึก...

กำแพงที่เรามองมันไม่เห็นแต่รู้สึกได้
กำแพงที่ทำให้เราไม่เข้าใจกัน
กำแพงที่ทำให้เรามองหน้ากันไม่ติด
กำแพงที่ทำให้เราห่างกันออกไปทุกที
กำแพงที่สามารถทำให้ฉันร้องไห้ได้อย่างไม่มีเหตุผล
สะพานแห่งความเป็นเพื่อน
สะพานที่เรามองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ สะพานที่ทำให้เราเข้าใจกัน
สะพานที่ทำให้เราหัวเราะไปพร้อมๆกัน สะพานที่ทำให้เรารู้จักคำว่าน้ำใจ
สะพานที่ทำให้ฉันยิ้มได้ แม้ว่าจะเกิดปัญหาไม่สบายใจ
ฉันสร้างสะพาน ทอดยาวไปตรงหน้าเธอ รอเพียงเธอจะก้าวเดินออกมา. . . จากหลังกำแพง เพราะฉันพร้อมที่จะเป็นเพื่อนของเธอ
เพื่อนที่ไม่เคยคิดร้ายต่อเธอ
พื่อนที่สามารถทำอะไรต่ออะไรเพื่อเพื่อนได้
เพื่อนที่คอยยืนยิ้มอยู่ข้างๆเสมอ เมื่อเธอหัวเราะ
เพื่อนที่คอยให้กำลังใจเธอเสมอ เมื่อเธอมีปัญหา
ทุกวันนี้ฉันได้แต่หวังว่า ไม่วันใดก็วันนึง ความจริงใจทั้งหมดที่มีของฉัน คงจะสามารถทลายกำแพงที่เธอสร้างขึ้นมาได้ เพื่อที่ว่า ฉันจะได้เพื่อนที่ดีคนเดิมกลับคืนมา
ถ้าหากเธอได้มีโอกาสอ่านข้อความนี้ ก็ขอให้เธอได้รับรู้ด้วยว่า. . . เพื่อนคนนี้ รอเธออยู่ตรงปลายสะพานแล้ว แต่เวลานี้ฉันเจอกับกำแพงที่ฉันไม่สามารถมองเห็นหัวใจของเธอได้ ฉันจึงได้แต่รออยู่อีกด้านของกำแพง รอที่จะจูงมือเธอ เพื่อก้าวข้ามสะพานแห่งความเป็นเพื่อนไปด้วยกันอีกครั้ง

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

7 วิธีดัดหลังนิสัยเสีย



เกาศีรษะ กัดเล็บ ดึงผมคัน ลอกหนังแห้งๆ ที่ริมฝีปาก หรือลืมตัวแอบดึงแผลตกสะเก็ด ของตัวเอง

คุณเคยเผลอตัวทำพฤติกรรมหรือนิสัยเสียที่กล่าวมาข้างต้นไหมคะ ถ้ายังไม่แน่ใจลองสังเกตยามคุณเครียดหรือเวลาว่างด้วยตนเองหรือฝากคนข้างๆ ให้ช่วยสังเกตพฤติกรรมดังกล่าว เพราะนิสัยบางอย่างนั้นไม่เป็นอันตราย แต่ในบางคนที่มีนิสัย ซึ่งทำเป็นประจำ ชนิดขาดไม่ได้ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ กินตามใจปาก สิ่งเหล่านี้อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้

เรามีวิธีง่ายๆ เพื่อช่วยลดนิสัยเหล่านี้ลงได้ ดังนี้ค่ะ

1. หัดผ่อนคลายเสียบ้าง เช่น เมื่อถูกยั่วยวนด้วยของกินเล่นที่อุดมด้วยไขมัน จงนั่งลง แล้วหลับตา พร้อมกับฝึกคลายเครียดด้วยเทคนิคการสูดหายใจลึกๆ 2-3 ครั้ง แล้วความอยากก็จะลดลงได้

2. ฝึกสมาธิ ฝันกลางวัน สร้างจินตภาพ หรือใช้วิธีการผ่อนคลายจิตใจในรูปแบบอื่นๆ

3. ให้รางวัลแก่ตนเอง แม้คุณสามารถเอาชนะนิสัยที่ไม่ดีได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

4. มีอารมณ์ขันกับปัญหาที่เกิดขึ้น อย่าเคร่งเครียด เพราะความเครียดเป็นตัวบั่นทอนกำลังใจได้

5. จดบันทึกและวิเคราะห์เหตุผลที่คุณต้องการเลิกนิสัยไม่ดีนั้นๆ เช่น สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา รวมทั้งเหตุผลที่คุณไม่ต้องการเลิก มองให้ทะลุว่านิสัยนั้นมีผลต่อคุณอย่างไร

6. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้คุณมีนิสัยไม่ดี เช่น ถ้าคุณชอบกัดเล็บขณะที่ดูทีวี ให้เปลี่ยนไปเดินเล่นหรืออ่านหนังสือแทน หรือถักนิตติ้งให้มือไม่ว่าง หรือถ้าติดกินขนมทุกครั้งที่ดูทีวี ก็อย่าซื้อขนมกรุบกรอบไว้ที่บ้าน

7. ถ้าคุณยังเลิกไม่ได้ ก็ควรพยายามให้นิสัยไม่ดีเหล่านั้น ก่อให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด เช่น ถ้ายังติดของกินเล่น ก็ควรจะเลือกของที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างถั่วหรือธัญพืช เป็นต้น


นิสัยไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถ้าคุณตั้งใจเพื่อบุคลิกและสุขภาพที่ดีของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเลย จริงไหมค่ะ

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

ใส่แหวนอย่างไร ให้ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์



เพราะชายหญิงมีธาตุที่แตกต่างกันจึงมีวิธีการที่แตกต่างกัน จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แหวนวงน้อยนี้ สามารถคุ้มครองผู้สวมใส่ได้เช่นกัน เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณกาล อย่างที่ขุดได้ในกรุสมัยโบราณ ลองไปดูที่พิพิทธภัณฑ์เจ้าสามพระยาที่จังหวัดอยุธยา ก็จะมีแหวนหยกแหวนทองคำแท้และรัตนชาติต่างๆ รวมอยู่ด้วย สิ่งนี้เป็นหลักฐานพยานที่ดีอย่างยิ่ง ลองดูรายละเอียดต่อไปนี้
ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์
ท่านที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้หญิงให้สวมแหวนมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมแหวนมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำจากทองแท้ เงินแท้หรือหยก ถึงจะส่งพลังดี ๆ ออกมาคุ้มครอง ในการสวมแหวน หากเป็นผู้ชายให้เน้นไปที่นิ้วกลางและนิ้วชี้ อันหมายถึงพลังอำนาจการปกครองและ วาสนาบารมี แต่หากจะสวมแหวนที่นิ้วหัวแม่มือก็ขอให้ดูตัวเองก่อน เพราะการสวมที่หัวแม่มือนั้น ต้องเป็นผู้มีเงินทองแบบหลงจู๊อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกินวาสนาตน ส่วนผู้หญิงก็ให้สวมมือซ้ายนิ้วนางหรือนิ้วกลาง ก็จะเสริมพลังของตัวเองให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ในการสวมแหวนหลายวงในนิ้วเดียวกันนั้น ไม่ควรทำ จะทำให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องของความรักได้ง่าย ๆ

ผู้ที่เกิดวันจันทร์
ท่านที่เกิดวันจันทร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำด้วยทองคำ เงิน นาค โลหะผสม หรือหินสีต่างๆก็ได้ แต่ควรเป็นแหวนที่วงค่อนข้างผอม บาง หัวแหวนเล็กๆ จึงจะสอดคล้องกับผู้ที่เกิดในวันจันทร์ ผู้ชายควรสวมแหวนเน้นไปที่นิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลางก็จะเสริมดวงและคุ้มครอง ห้ามสวมแหวนนิ้วก้อยและนิ้วหัวแม่มือเด็ดขาด ส่วนผู้หญิงก็ให้สวมที่นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ก็จะเกิดความเจริญรุ่งเรือง สร้างพลังแห่งเมตตามหานิยมแก่เจ้าของ ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ สามารถสวมแหวนซ้อนกันสองวงได้ แต่ถ้าเป็นสามวงซ้อนในนิ้วเดียวกันไม่ควรอย่างยิ่ง จะทำให้เกิดความผิดพลาด ในเรื่องของความรักได้ง่าย ๆ

ผู้ที่เกิดวันอังคาร
ท่านที่เกิดวันอังคาร ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมนิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนทำด้วยอะไรก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นของที่แตกหักได้ ตัวแหวนควรค่อนข้างหนาสักหน่อยจึงจะดี หัวแหวนควรใหญ่เช่นกัน ก็จะสามารถเหนี่ยวนำความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมไว้ที่นิ้วกลางนิ้วชี้ ก็จะคุ้มครองผู้สวมใส่ ไม่ควรสวมแหวนนิ้วนางหรือนิ้วก้อยจะทำให้ไม่มีพลัง ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วกลางนิ้วชี้และนิ้วนางเท่านั้น ก็จะส่งพลังคุ้มครองในทุกเรื่อง ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วก้อย จะทำให้เสียพลังที่เข้มแข็ง ที่สำคัญการสวมแหวนซ้อนกันหลายวงในนิ้วเดียวกันสามารถทำได้ ไม่ได้ทำให้เกิดการสูญเสียหรือมีผลใด ๆ ในเรื่องของความรัก

ผู้ที่เกิดวันพุธ
ท่านที่เกิดวันพุธ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมที่นิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทอง เงินหรือหยก ตัวแหวนควรพอดีกับนิ้ว ไม่ควรหนาหรือบางจนเกินไป หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ หรือทำเป็นรูปเหลี่ยมๆ จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนไว้ที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็ได้ หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง นอกจากนี้ยังสามารถสวมแหวนหลายวง หลายนิ้วพร้อมกันได้ หรือจะซ้อนในนิ้วเดียวกันหลายวงก็ได้ ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียในเรื่องของความรักอย่างแน่นอน

ผู้ที่เกิดวันพฤหัส
ท่านที่เกิดวันพฤหัส ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือทองคำขาว ตัวแหวนควรพอดีกับนิ้ว หรือค่อนข้างใหญ่หน่อยก็ยังดี หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ แต่ควรจะมีประกายส่องสว่าง ถึงจะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็ได้ หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรสวมแหวนนิ้วก้อย ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆเรื่อง นอกจากนี้ไม่ควรสวมแหวนพร้อมกันหลายวง จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก

ผู้ที่เกิดวันศุกร์
ท่านที่เกิดวันศุกร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือทำจากหิน ตัวแหวนควรมีลักษณะเป็นแฟชั่นหยักๆ หรือเป็นคลื่น หัวแหวนควรมีสีสัน หรือเป็นแหวนหลายหัวก็ได้ จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง หรือนิ้วก้อย หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงสามารถสวมแหวนนิ้วไหนก็ได้ในทุกนิ้ว จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง แต่การสวมแหวนซ้อนกันมากจนเกินไป จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก หรือจะกลายเป็นคนที่รักอิสระจนเกินกว่าจะควบคุมได้

ผู้ที่เกิดวันเสาร์
ท่านที่เกิดวันเสาร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงินหรือหิน ตัวแหวนควรมีความพอดีกับนิ้ว หรือค่อนข้างใหญ่หน่อยก็ยังดี หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ แต่ควรจะมีสีค่อนข้างเข้ม จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วก้อยหรือนิ้วนาง จะเสียพลังในการคุ้มครอง ส่วนผู้หญิง ควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆเรื่อง นอกจากนี้ไม่ควรสวมแหวนพร้อมกันหลายวง จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552

รัก...ในอีกมุม...

ความรัก บอกออกไป ยังไงๆก็เป็นความรักอยู่ดี
ไม่ว่าจะเป็นงานที่เรารัก หรือคนที่เรารัก มักมีสองด้านเสมอ
อยู่ที่ว่าเรารักมากพอที่จะยอมรับอีกด้านนึงหรือปล่าว
คิดถึงเขาแล้วได้อะไร.....ได้คิดถึง โอเค งั้นคิดถึงไปเลย
ร้องไห้มากมายขนาดนี้แล้วได้อะไร.....ได้ปลดปล่อยเพราะเหนื่อยเหลือเกิน งั้นจงร้องให้สาใจ
ทำอะไรดีๆให้คนอื่นแล้วได้อะไร.....ได้อย่างที่อยากเพราะอยากให้ งั้นเต็มที่เลยอยากให้อะไรก็ให้
แต่ถ้ามัวเสียใจ โทษตัวเอง
ไม่มีแรงจะทำอะไรอีกต่อไปแล้วตอบไม่ได้ว่า"เป็นอย่างนี้แล้วได้อะไร"
หยุดเถอะ........การทำร้ายตัวเองขนาดนี้ควรได้อะไรบ้าง
เหงาแล้วได้อะไร......... เรื่องอะไรก็ตามถ้าสาเหตุมาจากตัวเรา
อย่างน้อยมันก็แก้ง่ายกว่า เปลี่ยนที่ตัวเรายังไงก็เหนื่อยน้อยกว่าร้องให้คนอื่นเปลี่ยน
"คิดถึง" เป็นความรู้สึกหนึ่ง ซึ่งสามารถทำไปพร้อมๆกับกิจกรรมอื่นๆได้
"คิดถึง" คือคำสั้นๆที่สามารถดูแลความสัมพันธ์ให้ยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ
"คืดถึง" ถ้าไม่บอก มันก็เป็นแค่ "คิด" แต่ไม่ "ถึง"ซะที
เพื่อนน้อยลงทุกทีเมื่อเราโตขึ้น ความจริงเพื่อนมีจำนวนมากขึ้น
แต่เราให้เวลาเพื่อนน้อยลงต่างหาก
ยิ่งนานยิ่งรักเกิดขึ้นได้พอๆกับยิ่งนานยิ่งไม่รัก
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสปีชี่ของมนุษย์ รักเดียวใจเดียวมาแต่ไหนแต่ไร
ในขณะที่ส่วนใหญ่ปัญหาหัวใจในอันดับต้นๆ คือ เจอคนหลายใจ
อย่าร้องขออะไร ถ้ายังไม่ได้เริ่มต้น "ให้" เลย
เรื่องความรักเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องหนี
เรื่องความจริงเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้
ความรักเป็นเรื่องตรงกลาง มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ได้
ความรักเป็นเรื่องตรงกลาง ใช้เหตุผลมากไปก็ไม่ได้ ใช้ความรู้สึกมากไปก็ไม่ดี
ความรักเป็นเรื่องตรงกลาง ให้เยอะเกินไปก็ไม่ดี รับมากเกินไปก็ไม่ได้ ความรักเป็นเรื่องเทาๆ อย่าหวังให้ขาวจั๊วะ และอย่าทำให้มันดำปิ๋ดปี๋
ความรักเป็นเรื่องของความเข้าใจ ถ้าใส่น้ำใจให้อภัยและยอมรับฟังเข้าไปด้วยก็ดี
ความรักเป็นเรื่องง่าย คนต่างหากที่ทำให้มันยากเอง
ทำไมคนเราถึงรู้สึกเจ็บ เพราะนั่นมันเป็นกลไกการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง
เมื่อไหร่ที่รู้สึกเจ็บเราจะได้เลิก เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเจ็บเราจะได้อยู่ห่างๆเอาไว้
และเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเจ็บเราจะได้ เข็ด จำ และไม่ทำอีก
ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอดหรอก
แต่ทำให้เราเลือกอยากจะมองในสิ่งที่อยากมองและเลือกไม่มองในสิ่งที่ไม่อยากเห็น มากกว่า
ไม่ว่า ความรักทำให้ตาบอด หรือเราเลือกที่จะบอดเองก็ตาม
อย่าปิดหูให้เรามีโอกาสที่จะได้ยินบ้าง

รักให้เป็น..อย่าหวังแต่รัก

ความรักที่เกิดขึ้น . . .ท่ามกลางความเหงานั้น เกิดขึ้นได้ง่าย แต่การจะสานความรักต่อ. . . ให้ยืนยาวได้นั้น เป็นเรื่องยาก ความเหงานั้น . . . มันโดดเดี่ยวเปลี่ยนคนอ่อนไหว . . .ให้กลายเป็นคนอ่อนแอได้จนบางครั้ง . . .ต้องพยายามหาที่ยึดหัวใจไม่ให้เคว้ง ไปตามแรงกระทบของชีวิตและบางครั้ง . . . ก็อาจเผลอ ไปยึดใครสักคน. . .ที่ไม่อาจจะยึดได้ เพราะเหตุผล แห่งความเป็นไปไม่ได้ ร้อยพันประการ . . .แต่ . . . เมื่อความรักได้เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ร่วมได้ หรือไม่ . . . มีสิทธิ์ครอบครอง หรือไม่ . . .ก็ไม่อาจที่จะ . . . ห้ามไม่ให้รู้สึกรักได้ เมื่อในที่สุดแล้ว . . .ห้ามไม่ได้ก็อาจจะมีอีก ทางเลือกคือ . . . การปล่อยหัวใจให้ได้ “รั ก”แต่ . . .ต้องหาที่ยืน ที่เหมาะสมให้กับตัวเองหาบริเวณ ให้ตัวเองให้ได้ และหักห้ามใจ ไม่ให้เตลิดก้าวไปไกลจากที่ที่ตัวเองต้องอยู่ . . .นอกจาก . . .กล้าที่จะยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็ต้องกล้าที่จะเชื่อมั่นว่า . . .เราต้องยืนอยู่ตรงนั้นให้ได้และต้องไม่ไปไกลกว่านี้ . . .อยากอยู่ตรงไหนก็ได้ . . .แต่ต้องอยู่ในขอบเขต รักได้เท่านั้นอย่า! ไปเผลอทำร้ายใครให้เจ็บปวด
...... เขียนบอกตัวเองให้รักให้เป็นรักคนที่เค้ารักเราดีกว่า

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

ความหมายง่ายๆ ของคำว่า...เพื่อน

เพื่อนบางคน...อาจคอยมองดูคุณอยู่แบบห่างๆ แต่ไม่กล้าแสดงออก
แต่เพื่อนบางคน...อาจจะเข้ามายุ่งกับคุณโดย เพราะเขาเป็นคนกล้า
เพื่อนบางคน...อาจทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณได้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ในขณะที่เพื่อนบางคน...ไม่ได้ยินคำขอร้องของคุณด้วยซ้ำ
เพื่อนบางคน...อาจพูดอะไรตรงๆ กับคุณเพราะรัก
แต่เพื่อนบางคนของคุณ...อาจพูดแต่คำหวานๆ ซึ่งแฝงไปด้วยความน่ากลัว
เพื่อนบางคน...อาจเหมือนคนที่ไม่อดทน มักบ่นอะไรเล็กๆ น้อยๆ เสมอ
แต่จริงๆ แล้วเขา...อาจเป็นคนที่มีความอดทน มากกว่าที่คุณคิดเสียอีก
เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยมีความลับกับคุณ อาจแม้กระทั่งให้คุณอ่านไดอารี่แสนหวงของเขา
แต่เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยแม้แต่จะเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวให้คุณฟัง เพื่อนบางคน...อาจไม่เคยโทรศัพท์หาคุณเลย มีแต่คุณเท่านั้นที่มัวแต่โทรหาเขาทุกวัน เพื่อนบางคน...อาจโทรมาหาคุณได้โดยที่คุณไม่ต้องขอร้องเลยด้วยซ้ำ
เพื่อนบางคน...อาจจะอยู่เคียงข้างคุณ ในยามที่คุณต้องการใครซักคน โดยที่ไม่มีใครขอ
แต่เพื่อนบางคน...ไม่อาจแม้แต่จะรับรู้ความรู้สึกของคุณได้
เพื่อนบางคน...อาจถึงขนาด นั่งร้องไห้กับคุณ
ในขณะที่อีกหลายๆ คน...ไม่สนด้วยซ้ำว่าคุณกำลังอยู่ที่ไหน เพื่อนบางคน...อาจเคยทำผิดกับคุณบ้าง แต่เขาก็ยังพยายามที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
ในขณะที่เพื่อนบางคน...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำผิดต่อคุณ
เพื่อนบางคน...อาจหมายความตามที่เขาพูด เช่น ขอโทษก็คือขอโทษ
ในขณะที่เพื่อนบางคน...พูดขอโทษ แต่หมายถึงสมน้ำหน้า เพื่อนบางคน...อาจจำได้ว่าพยายามโทรหาคุณข้ามวันข้ามคืน ถึงแม้ว่าเขาจะติดต่อคุณไม่ได้ แต่ก็ยังคงพยายาม
ในขณะที่เพื่อนบางคน...อาจจำได้ไม่เกินครึ่งวันด้วยซ้ำว่าคุณโทรหาเขา
เพื่อนบางคน...อาจเหมือนคนที่มีอารมณ์แปรปรวน อาจทำอะไรที่คุณคาดไม่ถึง
แต่ไม่แน่เขา...อาจเป็นน้อยกว่าคุณก็ได้ เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว
เพื่อนบางคน...อาจชอบอยู่กับกลุ่มคนเยอะๆ ที่สนุก เฮฮา
แต่เพื่อนบางคน...อาจจะภูมิใจกับกลุ่มเพื่อนเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า
เพื่อนบางคน...อาจมัวนั่งเงียบๆ จนให้คุณไม่อาจรู้ได้ว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ในขณะที่เพื่อนบางคน...พูดมากเสียจนคุณรำคาญ
เพื่อนบางคน...อาจอยากให้คุณรับรู้ความรู้สึกจากเขาทางสายตา
แต่เพื่อนบางคน...อาจเดินมาบอกความรู้สึกกับคุณด้วยตัวเอง
เพื่อนบางคน...อาจจะไม่มีการแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าคุณจะทำให้เขาเสียใจเพียงใด
แต่ในขณะที่เพื่อนบางคน...อาจเดินเข้ามาต่อว่าคุณ จนคุณไม่เหลือซากก็ได้
เพื่อนบางคน...สามารถอ่านใจคุณได้
ในขณะที่อีกหลายๆ คน...ไม่อาจรับรู้และเข้าใจ ความรู้สึกของคุณได้ แม้ว่าคุณจะบอกเขาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ตาม

ความรักของชอล์ก กับ กระดาน

+++ ค ว า ม รั ก ข อ ง ช อ ล์ ก กั บ ก ร ะ ด า น ดำ +++
...แต่เดิม ชอล์ก กับ กระดานดำ ก็รักกันดี เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างชอบและเชื่อมั่นในสิ่งที่อีกคนเป็น แต่อยู่มาวันหนึ่งชอล์กก็บังเอิญได้ไปเจอกับไวท์บอร์ด จึงติดใจหลงรักในความขาวสะอาด ในที่สุด...ชอล์กก็ตัดสินใจบอกเลิกกับกระดานดำ กระดานดำเสียใจมาก เธอทำผิดอะไร ทำไมชอล์กจึงเปลี่ยนแปลง เพราะเธอดำอย่างงั้นใช่ไหม? เมื่อคิดได้อย่างนี้ กระดานดำจึงไปหาครีมไวท์เทนนิ่งต่างๆ มาใช้ ทางฝ่ายชอล์ก หลังจากบอกเลิกกระดานดำแล้ว ก็ไปคบหากับไวท์บอร์ด แต่ไม่นานเท่าไหร่ ชอล์กก็ได้เรียนรู้ว่าตัวเองกับไวท์บอร์ดนั้น เข้ากันไม่ได้เลย ชอล์กเขียนไวท์บอร์ดไม่ติด ไวท์บอร์ดไม่รักชอล์กแม้แต่นิด ชอล์กผิดหวังกับไวท์บอร์ดมาก จึงพาหัวใจช้ำๆ กลับไปหากระดานดำ แต่ ...กระดานดำเปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่ดำเหมือนก่อนแล้ว และหัวใจของเธอก็เปลี่ยนไปแล้วด้วยเช่นกัน อ ย่ า ทำ ร้ า ย ค น ที่ ใ ช่…….ด้ ว ย ค ว า ม โ ล เ ล ช่างเป็นเรื่องเศร้า!!! แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราคิดได้ว่า ถ้ารักใคร ก็ต้องรักที่หัวใจของเขา ไม่ใช่ที่หน้าตา ไม่ใช่เสื้อผ้าที่เขาใส่ ไม่ใช่เพราะนามสกุลเขาดัง และไม่ใช่เพราะบ้านเขารวย การรักคนที่เปลือก และการตั้งสเป็กว่าถ้ามีแฟน แฟนฉันต้องเพอร์เฟ็คต์สุด แต่ต้องเป็นได้ในทุกสิ่งที่ฉันหวังนั้น เป็นการรักที่เหมือนดอกไม้ ทันทีที่บาน ไม่นานก็จะแห้งเหี่ยวลง เพราะไม่มีใครที่เพอร์เฟ็คต์ทุกด้านและยอมเปลี่ยนตัวเองได้เพื่อคนอื่นขนาด นั้น ชีวิตของเขาหรือของเราก็เหมือนเส้นวงกลมที่วาดด้วยมือ จึงไม่มีเส้นเส้นไหนหรอกที่จะสมบูรณ์แบบ เหมือนใช้วงเวียนวาด หากจะรัก จึงควรยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น และบอกให้เขาเปลี่ยนเฉพาะ "บางสิ่ง" ที่ไม่ดี รวมถึงตัวเราเองก็ต้องยอมเปลี่ยนในบางสิ่งที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าต่างคนต่างเปลี่ยนแบบนี้ ก็จะเรียกว่า "การปรับตัวเข้าหากัน" เพื่อจะรักกันได้อย่างไม่ไร้ความเข้าใจ และ...อย่าให้ความรักของเธอโลเล เปลี่ยนใจง่ายเหมือนความรักของ "ชอล์ก"
รั ก แ ล้ ว ต้ อ ง มั่ น ค ง......เ มื่ อ เ ธ อ ก็ มี ค น ที่ ใ ช่ อ ยู่ ใ ก ล้ ตั ว
แล้วจะเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามคนที่ไกลตัวไปทำไม?