วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

7 ขั้นตอน หยุดแค้นเคืองโกรธ

พระพยอม กัลยาโณ เคยกล่าวว่า "โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า" เราทุกผู้ทุกคนก็รู้ดีว่า การโมโหโกรธเป็นสิ่งไม่ดี เพราะมีแต่จะทำร้ายตนเองงและผู้อื่น แม้เข้าใจขนาดนี้ก็ยังระงับไม่อยู่ มีการโมโหจนได้ เมื่อใครทำอะไรไม่ถูกใจหรือคิดเห็นไม่เหมือน
แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อลดละความโกรธ จะทำอย่างไรเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำอย่างไรเพื่อมิให้ความขัดแย้งขยายบานปลายกลายเป็นความรุนแรง ในทางพุทธศาสนาได้แนะแนวทางปฏิบัติ 7 ขั้นตอน ระงับความโกรธไว้ดังนี้

1. ตั้งสติ เมื่อมีเหตุเข้ามากระทบ

ควบคุมอารมณ์ อดทนเมื่อต้องเผชิญกับเหตุที่ไม่พึงต้องการ

2. เมื่อรู้สึกโกรธ ให้ปลุกสติรู้ตัวทันที

ให้ปรับเปลี่ยนความสนใจ หลบหลีกไม่สนใจในเรื่องนั้น ถ้าเป็นไปได้จงย้ายตัวเอง เลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่สร้างความโกรธ เพื่อตัดภาวะปัจจัยที่จะเข้ามากระทบออกไปให้ไกลตัว

3. ให้นึกเสมอว่า "ความโกรธเป็นศัตรูร้ายทำลายตัวเราเอง"

คนที่โกรธง่าย อารมณ์เสียตลอดเวลา จะมีหน้าตาบึ้งตึงขุ่นมัว เสื่อมสุขภาพจิต ไม่เป็นที่รักของใคร มีแต่คนอยากหลีกลี้หนีหาย ถ้าเราเป็นคนโกรธง่าย ก็มีแต่ทำลายบุคลิกภาพตัวเอง ถ้าเป็นผู้อื่นเขาจะทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว

4. แผ่เมตตาให้กับคนที่โกรธเรา

นึกถึงใจเขาใจเรา ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ให้เข้าใจธรรมชาติมนุษย์มีทั้งดีและเสีย ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ให้คิดเสียว่าที่เขาโกรธ เพราะเขามีทุกข์ที่ต้องการระบายออก เขาหาคนช่วยเยียวยาอาการ

5. เตือนตนเองเสมอ "อย่าโกรธตอบ"

เพราะถ้าเราโกรธตอบเท่ากับเราเดินเข้าไปติดกับดักทางอารมณ์ เรากำลังช่วยขยายเหตุการณ์ให้รุนแรง และยืดยาวขึ้น ยิ่งโกรธตอบยิ่งเสียหาย เปรียบดังแสงที่ตกกระทบบนกระจกเงานับร้อยบาน ที่สะท้อนไปสะท้อนมาจนไม่มีสุดสิ้น

6. อยู่ห่างไกลหรือหลีกเลี่ยงการพบปะกับคนที่ขี้โมโห โกรธง่าย

การอยู่ใกล้เหมือนเรามีเชื้อไฟที่คุกรุ่นอยู่ข้างกายตลอดเวลา จะทำให้เราเคยชินจนกลายเป็นคนโกรธง่ายไปด้วย

7. อย่าคิดแบ่งแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย

มีแต่เพื่อนร่วมโลก ร่วมทุกข์ ร่วมสุข มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเลิศเลอ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดเทียบเคียงได้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม รวมกันเพื่ออยู่ เพื่อสร้างสรรค์ มิใช่เพื่อทำลาย มิใช่เพื่อประหัตประหารห้ำหั่น และนี่คือเป้าประสงค์ของการมีชีวิตอย่างมีคุณค่า

มหันตภัยของการนอนดึก


การอดหลับอดนอนคงเป็นเรื่องธรรมดาของเหล่ามนุษย์เงินเดือนไปเสียแล้ว! ไม่ว่าจะเกิดมาจากสาเหตุใดก็ตามเถอะ แต่จงอย่าให้มันกลายเป็นความเคยชิน เพราะผลกระทบของการนอนดึกนั้นมันร้ายแรงกว่าที่คิดจริงๆ ถ้าคุณสาวๆ ยังไม่เชื่อลองมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของเหล่านักนอนเช้าตัวโยงกัน
ระบบการย่อยอาหาร
การอดหลับอดนอน ส่งผลให้ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ ต่างจากการนอนตรงตามเวลา นอนแต่หัวค่ำ อุจจาระที่ถ่ายออกมาก็จะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ และไม่เหนียว หรือแข็งหยาบจนเกินไป ทั้งนี้เกิดจากการที่ร่างกายของเรานั้นย่อยอาหารได้ไม่ดีและไม่หมด เพราะระบบการย่อยมันอ่อนล้าจากการที่นอนไม่เป็นเวลา

แนวทางแก้ไข
จำเป็นต้องนอนดึกจริงๆ ให้หลีกเลี่ยงหรือลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ หรืออาหารเหนียวๆ เพื่อมิให้ลำไส้ทำงานหนัก เพราะหลังจากที่เราหลับไปแล้ว ถ้าคุณยัดอาหารหนักลงกระเพาะ ลำไส้ก็ยังคงต้องทำงานอยู่ มิได้พักผ่อน และทำให้เกิดปัญหา แล้วถ้าหากตื่นนอนขึ้นมาแล้ว มีความรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ควรที่จะรับประทานไข่ นม หรือน้ำผลไม้แทนอาหารหนักจำพวกเนื้อสัตว์ ก็จะสามารถรอดจากอาการท้องผูกเป็นประจำได้ แต่ทางที่ดีอย่านอนดึกเลย หรือจำเป็นจริงๆ ก็ควรออกกำลังหน้าท้องเข้าไว้ เพื่อสร้างกำลังให้ท้องสามารถรีดอุจจาระออกมาได้เร็ว

ระบบปัสสาวะ

ลองสังเกตกันไหมว่า ถ้าเรานอนแต่หัวค่ำ (ประมาณ 3-4 ทุ่ม) พอรุ่งเช้าเราตื่นขึ้นมาก็จะปัสสาวะเพียงครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก กลางดึกก็จะต้องลุกเข้าห้องน้ำอยู่บ่อยๆ เพราะร่างกายใช้งานเกินลิมิตไปแล้ว กล้ามเนื้อข้างในเลยพยายามบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือจะปัสสาวะบ่อย และนั่นเองที่ทำให้เกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย
แนวทางแก้ไข

ให้รับประทานแคลเซียมเม็ดเพื่อป้องกันเลือดจาง แต่ควรทานวันละ 1 เม็ดเท่านั้น เพราะทานมากไปจะเกิดภาวะแคลเซียมพอก หรืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท

แล้วต่อไปหากจำเป็นต้องนอนดึก ควรจะดื่มน้ำมากๆ และควรเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อช่วยระบบเลือดและความดันโลหิตด้วย ส่วนคนที่ใช้เครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ ควรเลิกซะ เพราะพอเราอยู่ดึกมากๆ และกลั้นปัสสาวะ มันก็จะซึมเข้าไปในเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และจะไปประทุที่ขาหนีบ

ระบบเหงื่อ

สำหรับคนที่มีความเข้าใจว่า ถ้าไม่มีเหงื่ออกเสียเลยจะมีสุขภาพที่ดีนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด เพราะถ้าเหงื่อไม่ออก ความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ รวมไปถึงของเสียต่างๆ ที่จะถูกระบายพร้อมเหงื่อ ก็จะไม่ถูกระบาย ก็จะทำให้อึดอัด รวมไปถึงโรคผิวหนัง อาทิ สิว ฝ้า ก็จะถามหาเอาง่ายๆ

คนที่นอนดึกดังที่ทราบกันว่าจะไม่ค่อยมีเหงื่อออก จึงมักจะเผชิญกับปัญหาของเสียตกในอยู่เสมอ และแน่นอนว่าสิว ฝ้า ก็จะตามมาเป็นปัญหาต่อไป อีกทั้งถ้าเหงื่อไม่ออก การระบายน้ำก็จะตกไปเป็นภาระของไต เพื่อขับออกมาเป็นปัสสาวะ ไตเลยต้องทำงานหนัก แถมยังทำให้ปัสสาวะถี่อีกต่างหาก
แนวทางแก้ไข

ก็คงไม่ต่างจากระบบอื่นๆ คือการดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ และที่สำคัญควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเรียกเหงื่อให้ออกมา

ชาแบบไหน เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ


กาแฟ และชา ต่างก็มีสารเสพติดอย่างอ่อน แต่การเลือกดื่มชาไม่เพียงให้ผลลัพธ์เท่าเทียมกับกาแฟ คือช่วยให้คึกคักกระปรี้กระเปร่า แต่ยังมีดีมากกว่า เพราะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องร่างกายจากมลพิษรอบตัวอีกด้วย และนี่คือสรรพคุณที่น่าเลือกดื่มให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา

ชามะลิ เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานแบบใช้สมอง และนอนดึก

ชาอูหลง เหมาะสำหรับผู้ที่รักการออกกำลังกาย หรือทำงานที่ต้องใช้แรงเสียเหงื่อมาก รวมทั้งผู้นิยมรับประทานเนื้อสัตว์

ชาเขียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องสูดดมอากาศเป็นพิษอยู่เสมอ อาทิ ผู้ที่ขับขี่หรือสัญจรบนถนน และหนุ่มสาวนักดื่มสุรา

ชาดอกไม้ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยขยับเขยื้อนกายไปไหน และไม่ชอบออกกำลังกาย

ชาผสมน้ำผึ้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการระบาย ท้องผูก

ชาอูหลงหรือชาเขียว เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง

ชาทุกชนิด เหมาะสำหรับคนยุคไอทีที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืน

7 วิธีใช้คอมพิวเตอร์ แบบทำร้ายตัวเอง


สำหรับคนที่อยู่ดีไม่ว่าดี ชอบหาเรื่องแผลงๆ มาทดลองและไม่เห็นค่าของความ "อโรคยา"...SHE's smart ก็มีวิธีง่ายๆ มาสนองเจตนารมย์ค่ะ วิธีเหล่านี้ง่ายมากสามารถทำได้โดยใช้คอมพิวเตอร์ธรรมดานี่แหละเป็นอุปกรณ์ แล้วก็ไม่เสียเวลามากด้วย เพราะเราสามารถบั่นทอนสุขภาพของตัวเองไปพร้อมๆ กับที่นั่งทำงานได้เลย เห็นมั้ยคะว่าสะดวกแค่ไหน ค่อยๆ ทำตามกันไปทีละข้อนะคะ
วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ เพราะระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตาของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุดค่ะ

วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา พยายามหันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ง่ายๆ สมใจค่ะ

วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ พยายามจ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไปค่ะ

วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า ชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิดท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง

วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง เวลาพิมพ์งานลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้ว และยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้น เก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย

วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ ให้หาขนมมากินขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะนิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง

วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ พยายามหาเรื่องอะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

แค่คุณทำตาม 7 วิธีนี้ก็เชื่อว่าสุขภาพคุณคงจะย่ำแย่ลงได้บ้างล่ะค่ะ ถ้าอยากเจ็บป่วยแบบไหนก็เลือกกันตามอัธยาศัยเลยค่ะ เมื่อสุขภาพแย่ลงการทำงานก็จะแย่ลงไปด้วย และในที่สุดชีวิตคุณก็จะอับเฉาลงเรื่อยๆ ด้วย 7 วิธีนี้เราหวังว่าคุณจะสมหวังค่ะ

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Oeil

L'oeil (au pluriel les yeux) est l'organe de la vision c'est-à-dire l'organe des sens qui permet à un animal d'analyser la lumière pour pouvoir interagir avec son environnement.
Dans le monde animal, il existe au moins quarante types d'organes visuels que l'on appelle « yeux ». Cette diversité pose la question de l'origine de la perception visuelle. Les yeux les plus simples sont tout juste capables de déceler la différence entre lumière et obscurité tandis que les yeux les plus complexes, comme l'œil humain, permettent de distinguer les
formes et les couleurs.
L'un des grands objectifs de la
technologie contemporaine est de parvenir à fabriquer des « yeux électroniques » capables d'égaler voire de dépasser les aptitudes des yeux qui existent dans le monde vivant pour, par exemple, remplacer l'œil d'une personne qui aurait eu un accident.