วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตัวหนีบแฟนซี



















ชื่อสินค้า ตัวหนีบแฟนซี
รายละเอียดสินค้า ตัวหนีบแฟนซีเป็นสินค้าประเภทสวยงาม น่ารัก สามารถใช้เป็นของฝาก ของที่ระลึกต่อกันได้หรือจะนำไปใช้สอยประโยชน์อย่างอื่นก็ได้เช่นกัน
ราคาจำหน่าย 10 บาท ต่อ 1อัน
ถ้าหากสนใจสามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ 034-248555 หรือ 0811234040
อีเมล์ Fancy123@hotmail.com

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

9 วิธี ให้คุณหันมาดื่มน้ำมากขึ้น



1.ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะการดื่มน้ำตอนทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอด ทั้งวัน

2. บีบน้ำมะนาวใส่นิดๆ หากคุณรู้สึกยี้กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่มเพื่อช่วยเพิ่ม รสชาติให้กับน้ำ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่มักใช้วิธีนี้ พบว่าได้ผล และ สำหรับใครที่ต้องออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สะดวก เพราะที่ผ่านมาผู้เขียนก็มักขอให้พนักงานเสิรฟนำมะนาวชิ้นบางๆมาเสริฟให้ พร้อมน้ำเปล่า ซึ่งแม้จะดูเป็นการเรื่องมากไปซักนิด แต่ภัตตาคารส่วนใหญ่ก็ยินดีจะเพิ่มบริการนี้ให้

3.ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่าร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ

4.คิดดูซิว่าคุณจะน่ารักขนาดไหน? "ฉันไม่รู้ว่าการดื่มน้ำมากๆ จะมีผลโดยตรงอย่างไรต่อระบบการหมุนเวียนของ โลหิตและการมีสุขภาพผิวดี เปล่งปลั่ง แต่ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่มน้ำ ตราบเท่าที่ฉันคิดว่าน้ำจะช่วยให้ฉันมีผิวที่ดี ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิง"

5.ถ้าร้อนนัก ก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่นๆซักแก้วไว้ที่มืออาจช่วยให้คุณลดอารมณ์ เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณในรูปของ ปัสสาวะ

6.ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บางครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอกๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง

7.เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่ายๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น

8. ถูก และ ถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรี แบบไม่อั้น

9.หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อนๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

โกจิเบอร์รี่ สุดยอดผลไม้ชะลอความแก่



เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ทําไมดาวจรัสฟ้าแห่งวงการมายาฮอลลีวู้ดหลายๆ คนถึงไม่ยอมแก่ลงเลย ไม่ว่าจะเจอสักกี่ปีก็เหมือนหยุดอายุผิวให้คงอ่อนเยาว์ กระจ่างใสได้ตลอดเวลา เคล็ดลับของพวกเธออยู่ที่ผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ อย่าง "ผลโกจิเบอร์รี่" ที่เรียกได้ว่าจิ๋วแต่แจ๋ว เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของ "สารแอนติออกซิแดนท์"

"ผลโกจิเบอร์รี่" เป็นผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณไม่เคยได้ยินชื่อของโกจิเบอร์รี่มาก่อน เพราะถึงแม้ว่าผลไม้ดังกล่าวจะเป็นยาโบราณที่สําคัญ ที่ใช้ในประเทศเอเชียมาหลายชั่วอายุคนก็ตาม แต่ความลับด้านประโยชน์ทางโภชนาการของผลดังกล่าว ยังคงเป็นความลับที่ชาวโลกส่วนมากยังไม่ทราบ

ย้อนไป 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล นักสมุนไพรชาวหิมาลายันได้ค้นพบความลับที่มีค่ามากที่สุดคือ ผลโกจิเบอร์รี่ท้องถิ่น ซึ่งต่อมาได้รับการถ่ายทอดสู่นักปรุงยาชาวจีน ทิเบต และอินเดีย จากการค้นคว้าและวิจัยของ Dr. Earl Mindell ค้นพบว่าผลโกจิเบอร์รี่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสารแอนติออกซิแดนท์ในปริมาณมากถึง 25,300 (ในขณะที่ลูกพรุนซึ่งมีสารแอนติ-ออกซิแดนท์เป็นลําดับที่ 2 มีเพียง 5,700 ORAC เท่านั้น) โดยสารออกซิแดนท์ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อแก่ตัวลงเป็นสาเหตุสําคัญของความแก่ก่อนวัยอัน ควร

ผลโกจิเบอร์รี่แต่ละลูกประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด ธาตุอาหาร 21 ชนิด มีโปรตีนมากกว่าโฮลวีท มีสารแอนติออกซิแดนท์คาโรทินอยด์อีกจํานวนมาก รวมทั้งวิตามินซีที่มีระดับสูงกว่าผลส้ม ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโกจิเบอร์รี่

ซึ่งอินไซด์ของผู้หญิงไทยที่พบว่า ผิวอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาติดอันดับต้นๆ และร้อยละ 85 ของผู้หญิงเชื่อว่าปัญหาผิวสามารถชะลอและป้องกันได้

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิธีทำให้ความจำดีขึ้น



1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆ สาวๆ นั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์

2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ขึ้น

3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุด คือ จดทุกอย่างลงในกระดาษเขียนไว้กันลืม

4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอ จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆ ก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆ เข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆ เข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เราคุ้นเคย

6. ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่เด็ก

7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆ หรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน

8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคย

9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ.. การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอนั้น จะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ

10. เลียนแบบ ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆ ก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด

11. เอาใจใส่ เคยจำชื่อใครสักคนไม่ได้บ้างหรือเปล่า ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆ นั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้

13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย

14. ลองทำสิ่งใหม่ๆ จะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

15. ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า

ถ้าใครอยากมีความจำที่ดีขึ้น ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

เครื่องดื่มแบบไหนก่อโรค



ประเภทของเครื่องดื่มในท้องตลาด

เครื่องดื่มที่เราเห็นว่ามีหลากหลายชนิดในท้องตลาดนั้นมีการกำหนดความหมายและแบ่งประเภทโดย คณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมความปลอดภัยและกำหนดมาตรฐานด้านอาหารตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยแบ่งเครื่องดื่มเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มี 4 ประเภทย่อย

น้ำผลไม้ เช่น น้ำผลไม้แท้ น้ำผลไม้ผสม น้ำหวานเข้มข้นผสมน้ำผลไม้

เครื่องดื่มอัดแก๊ส เช่น น้ำโซดา น้ำอัดลม

เครื่องดื่มกระตุ้นประสาท เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

น้ำนม เช่น นมสด นมผสมจากนมผง นมปรุงแต่งรส น้ำนมถั่วเหลือง

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 แบ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกเป็น 2 ประเภทย่อย

สุราแช่หรือเมรัย คือ ผลที่ได้จากการหมักส่า ให้เกิดสุราที่มีความเข้มข้น แอลกอฮอล์มากน้อยตามความต้องการโดยไม่เกิน 15 ดีกรี และไม่มีการกลั่น เช่น เบียร์ ไวน์ แชมเปญ หรือสุรากลั่นจากผลไม้ต่าง ๆ สุรากลั่น คือผลที่ได้จากการหมักส่าให้เกิดมีแอลกอฮอล์แล้วกลั่น และบางชนิดต้องเก็บไว้นานเพื่อให้มีคุณภาพดี อาจปรุงแต่ง ให้มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ตามความต้องการ เช่น บรั่นดี วิสกี้ เหล้าขาว เชียงชุน เครื่องดื่มยอดนิยมกับผลกระทบต่อสุขภาพ

รายงานของสถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี ระบุว่า ปัจจุบันนี้เด็กไทย 6 ใน 10 คนบริโภคน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากนมหวาน รองลงไปจะเป็นขนมหวานและน้ำอัดลม ส่งผลให้เด็กไทยป่วยด้วยโรคฟันผุ โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ มากขึ้นเป็นประวัติการณ์

ต่อมาในวัยรุ่นและวัยทำงานพบว่า สุราแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ไม่ว่าวันหยุดหรือเทศกาลใดๆก็มักจะมีการดื่มสุรา ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ประชากรไทยติดอันดับชาติที่ดื่มสุราสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยชายวัยทำงานอายุ 20-45 ปี ดื่มสุราสูงสุดถึงร้อยละ 75 ส่วนวัยรุ่นทั้งชายและหญิงต่างก็มีแนวโน้มการดื่มสุราสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าตกใจคือวัยรุ่นหญิงอายุ 11 ก็เริ่มดื่มสุรากันแล้ว

สถาบันวิจัยยาเสพติด ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่วัยรุ่นหญิงนิยมดื่ม ได้แก่ สุราต่างประเทศ สุราผสมผลไม้ หรือ ไวน์คูลเลอร์ เพราะเชื่อว่ามีแอลกอฮอล์น้อยดื่มแล้วไม่เมา ในต่างประเทศมีการวิจัยพฤติกรรมการบริโภคสุราผสมผลไม้ หรือ RTD (Ready To Drink) พบว่า เครื่องดื่มประเภทนี้เป็นประตูบานแรกที่เปิดให้เยาวชนกลายเป็นผู้เสพติดสุราในที่สุด

หากพิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อสุขภาพแล้ว ในส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นมีผลลบต่อสุขภาพชัดเจน แต่ในส่วนของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์นั้น ผู้บริโภคอาจมีความรู้สึกว่า ผลกระทบต่อสุขภาพที่แฝงอยู่อาจยังไม่ชัดเจนเท่าไรนักจึงมองข้ามผลเสียไป ทั้งๆที่เมื่อศึกษาจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับส่วนประกอบในเครื่องดื่มแล้วจะพบว่า หากดื่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์บางประเภทในปริมาณมากติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนตัดใจเลือกซื้อเครื่องดื่มครั้งต่อไปกัน ลองตามไปสำรวจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเครื่องดื่มและผลกระทบต่อสุขภาพ...ดีไหมคะ ส่วนประกอบของเครื่องดื่ม น้ำรสผลไม้ให้แต่น้ำตาล

เครื่องดื่มยอดนิยมที่เด็กๆหรือแม้แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ชื่นชอบ เพราะมีรสอร่อยและรู้สึกเหมือนได้ดื่มน้ำผลไม้ หาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกกว่าน้ำผลไม้คั้นสดหลายเท่าตัวส่วนประกอบ

สารแต่งกลิ่น สี รส ปริมาณสารปรุงแต่งเหล่านี้ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็ไปสะสมที่ตับและร่างกายส่วนอื่น เพิ่มโอกาสให้เกิดความผิดปรกติของเซลล์จนกลายเป็นมะเร็งได้

น้ำตาล เมื่อคุ้นชินกับการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานเสียตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ต้องบริโภคในปริมาณที่มากขึ้นจนกลายเป็นอาการติดน้ำตาล บางรายอาจจะแสดงออกด้วยอาการทางจิต เช่น ซึมเศร้า กระสับกระส่าย เดี๋ยวอารมณ์ดีเดี๋ยวอารมณ์ร้าย สมาธิสั้น มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

เพิ่มโอกาสเสี่ยงโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ไฮโปไกลซีเมียหรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

มีอาการแพ้ที่ผิวหนัง ปรากฏเป็นผื่นคันหรือลมพิษขึ้นเป็นปื้นๆ ตามนิ้ว แขนขาชา

โรคในช่องปาก ฟันผุ

น้ำอัดลมซ่ากว่าที่คิด

เครื่องดื่ม ที่เดิมเคยครองสัดส่วนการตลาดของเครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยรสซ่าและหวาน ที่ได้รับการโฆษณาว่า สร้างความสดชื่นและดับกระหายได้เป็นอย่างดีส่วนประกอบ

น้ำตาล ในน้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ร้อยละ 10-15 ซึ่งนับว่าสูงมาก ลองเปรียบเทียบง่ายๆว่า ในน้ำอัดลม 1 กระป๋องขนาด 250 มิลลิลิตร มีปริมาณน้ำตาลราว 3 ช้อนชา การดื่มเครื่องดื่มซึ่งมีปริมาณน้ำตาลสูงเช่นนี้เป็นประจำทำให้ตับอ่อนทำงานผิดพลาด ก่อให้เกิดโรคอื่นๆที่สัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดได้ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน เป็นต้น

กรดคาร์บอนิก น้ำอัดลมยังมีการปรุงแต่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเพิ่มอีก 2 ประการ ได้แก่ การเติมกรดปรุงแต่งรสในน้ำอัดลม ซึ่งมีค่า ph โดยประมาณเท่ากับ 3.4 ซึ่งค่าความเป็นกรดนี้สามารถกัดกร่อนฟันและกระดูกได้ ส่วนการอัดแก๊สที่เติมเข้าไปอีกนั้นช่วยให้เกิดความซ่าชวนดื่ม อาจทำให้ท้องอืดเพราะมีแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป เกิดอาการระคายแก่ผนังกระเพาะอาหาร เสี่ยงต่อการเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารในระยะยาว กระดูกและเคลือบฟันผุกร่อนเร็วกว่าปรกติ ด้วยเหตุนี้ทำให้น้ำอัดลมจึงเป็นเครื่องดื่มต้องห้ามในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและผู้ป่วยด้วยโรคกระเพาะอาหาร

สารปรุงแต่งรสและสารกันบูด สารเหล่านี้อาจตกค้างในร่างกายและสะสมในตับ ทำให้การทำงานของตับลดลง ไปสู่โรคเกี่ยวกับตับ เช่น มะเร็งตับ ได้

คาเฟอีน ส่วนประกอบในน้ำอัดลมประเภทน้ำสีดำที่สกัดได้จากเมล็ดโคคาจึงมีคาเฟอีนตามธรรมชาติอยู่ แม้กระนั้นก็ยังมีการเติมคาเฟอีนเพิ่มในกระบวนการผลิตซ้ำอีก ดังนั้นจึงมีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง เด็กและสตรีมีครรภ์จึงไม่ควรดื่ม ส่วนน้ำอัดลมประเภทที่มีสีใส ประเภทแต่งสีแต่งกลิ่นเลียนแบบผลไม้ แม้ไม่มีคาเฟอีนผสมอยู่แต่ก็มีความหวานจัดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

ผลจากการดื่มน้ำอัดลมมีให้เห็นในภาพยนต์สารคดีเรื่อง Supersize Me อันโด่งดัง ซึ่งเรื่องจริงของ มอร์แกน สเปอร์ล๊อค ชายหนุ่มชาวอเมริกันผู้ทดลองกินอาหารฟาสต์ฟู้ดและดื่มน้ำอัดลมแก้วโตทุกมื้อติดต่อกัน เป็นเวลา 30 วัน

เมื่อครบกำหนดการทดลอง ปรากฏว่า น้ำหนักตัวของมอร์แกนเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 10 กิโลกรัม พุงโย้ กล้ามเนื้อเหี่ยว ร่างกายขาดสารอาหารจำเป็นประเภทวิตามิน เกลือแร่เกือบทุกตัว ตับและไตถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง และแพทย์ลงความเห็นว่า หากมอร์แกนไม่หยุดการทดลองเขาอาจช็อคและเสียชีวิตจากอาการไตวายได้เครื่องดื่มเกลือแร่ทำลายสุขภาพคุณแน่

เครื่องดื่มประเภทนี้ได้รับการโฆษณาว่า เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายหรือสูญเสียเหงื่อมาก มีรสหวานและเค็มเล็กน้อย มีการปรุงแต่งรสด้วยสีและกลิ่นผลไม้ส่วนประกอบ

น้ำตาลและสารปรุงแต่งรส มีปริมาณไม่สูงมากเมื่อเทียบกับน้ำอัดลมและน้ำหวานรสผลไม้

เกลือแร่ต่างๆ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม ไบคาร์บอนเนต จากส่วนประกอบดังกล่าวบวกกับเทคนิคในการโฆษณาทำให้ประชาชนรู้สึกว่า เครื่องดื่มชนิดนี้เหมาะกับนักกีฬาและผู้ที่มีเหงื่อออกมาก

แต่ข้อเท็จจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบก็คือ เครื่องดื่มเกลือแร่ควรใช้กับผู้ที่เสียเหงื่อมากๆโดยผิดจากภาวะปรกติที่ร่างกายเคยชิน เช่น ในกรณีนักกีฬาที่เคยอยู่ในเขตหนาว เมื่อมาแข่งขันในแถบร้อน แล้วร่างกายปรับตัวไม่ทัน จะพบว่าเหงื่อออกมากขณะลงสนาม และอ่อนเพลียจากการสูญเสียเกลือแร่ได้ เป็นต้น แตถ้าเป็นการเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายตามปรกติ รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยา ให้คำแนะนำว่า การดื่มน้ำเปล่าเพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไปก็เพียงพอ และถ้ายิ่งเป็นนักกีฬาที่มีการฝึกซ้อมทุกวันด้วยแล้ว ก็แทบจะไม่จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่เสริมอีก เพราะร่างกายจะสามารถปรับตัวต่อการเสียเหงื่อเป็นประจำโดยไม่จำเป็นต้องให้เกลือแร่ชดเชยผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

หากร่างกายของเราได้รับเกลือแร่ต่างๆ จากอาหารเพียงพออยู่แล้ว การบริโภคเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีเกลือโซเดียมมากเกินไป อาจเป็นอันตรายโดยเฉพาะในผู้ที่ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคไต ในกรณีของเด็กและทารกไม่ควรดื่ม เพราะอาจเกิดการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายได้เครื่องดื่มชูกำลังให้คาเฟอีนมากเกิน เนื่องจากชื่อเดิมที่ให้ผลบวกด้านจิตวิทยาแก่ผู้บริโภคว่า ดื่มแล้วมีกำลัง สามารถทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่รู้สึกอ่อนเพลีย รัฐบาลได้คำนึงถึงช่องว่างดังกล่าวแล้วมองเห็นถึงผลกระทบของการบริโภคคาเฟอีนสังเคราะห์ซึ่งผสมอยู่เครื่องดื่มชนิดนี้ในปริมาณสูงจึงได้กำหนดให้เรียกชื่อเครื่องดื่มชูกำลังใหม่ว่าเป็น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนส่วนประกอบ

น้ำตาล ไวตามินต่างๆ ผู้ดื่มอาจรู้สึกสดชื่นนั้นเนื่องจากได้รับน้ำตาลเข้าไป ส่วนวิตามินและสารอื่นๆ เช่น สารกลูคูโรโนแลคโตน สารอันโนซีทอล สารเทาริน ที่ฉลากข้างขวดมักจะระบุว่า มีส่วนช่วยบำรุงตับ หัวใจนั้น ในความเป็นจริงยังไม่ปรากฏผลทางวิชาการมารับรองว่า ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากการดื่มสารเหล่านั้นเข้าไปโดยตรง

คาเฟอีนสังเคราะห์ ในเครื่องดื่มประเภทนี้มีการเติมคาเฟอีนสังเคราะห์ซึ่งไม่ใช้คาเฟอีนธรรมชาติเหมือนที่พบในน้ำอัดลมหรือกาแฟ โดยปริมาณคาเฟอีนที่ผสมจะอยู่ที่ 50-100 มิลลิกรัม ต่อ ขวดบรรจุ 100 มิลลิลิตร ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

บุคคลทั่วไปไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกินวันละ 300 มิลลิกรัม ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากปริมาณคาเฟอีนที่ผสมอยู่จึงมีคำเตือนว่า ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม เพราะนอกจากจะมีผลกระทบต่อการทำงานของตับแล้ว ยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กและทารกในครรภ์

ในส่วนของวิตามินที่อ้างว่าผสมในเครื่องดื่มประเภทนี้กว่า 10 ชนิดนั้น หากเรารับประทานผักผลไม้เพียงพอแล้ว ร่างกายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมวิตามินหรือสารอาหารอื่นๆจากการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้เข้าไปอีกเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์นำไปสู่การเสพติด

เครื่องดื่มกลุ่มนี้ถือเป็นก้าวแรกที่นำวัยรุ่น ไปสู่ถนนนักดื่มได้โดยง่าย เพราะมีรสหวานเนื่องจากมีการปรุงรส สี กลิ่น หรือผสมน้ำผลไม้ ทำให้ชวนดื่ม ไม่มีรสขมจัดอย่างเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในดีกรีสูงๆส่วนประกอบ

น้ำหวานรสผลไม้หรือน้ำผลไม้ ปริมาณน้ำตาลไม่สูงเท่าน้ำอัดลมและน้ำหวานรสผลไม้

แอลกอฮอล์ แม้จะมีประมาณแอลกอฮอล์ที่ดูเหมือนไม่มากนัก คือ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6-9 แต่หากดื่มติดต่อกันตั้งแต่ 5 ขวด (ปริมาณบรรจุขวดละ 250 มิลลิลิตร) ขึ้นไปก็ทำให้มึนเมาได้ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

ผลโดยตรงจากการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ไม่น่ากลัวเท่าผลทางอ้อมที่ชักจูงให้วัยรุ่นโดยเฉพาะวันรุ่นหญิงกล้าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ดีกรีสูงขึ้นต่อไปโดยง่าย รายงานจาก สถาบันวิจัยยาเสพติด ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การที่เด็กเริ่มต้นทำตัวเป็นนักดื่มตั้งแต่ก่อนอายุ 13 ปี มีโอกาสติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปจนโต ซึ่งมีกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 10 ปี ประมาณร้อยละ 4.7 ที่เริ่มดื่ม เมื่อเทียบอายุเฉลี่ยของคนไทยที่เริ่มดื่มแอลกอฮอล์ อยู่ที่ 20.5 ปี จะเห็นว่าเร็วจนน่าตกใจมากเครื่องดื่มจำเป็นต่อร่างกายหรือไม่ หากเครื่องดื่มยอดนิยมมีผลลบต่อสุขภาพเช่นนี้แล้ว เราควรเลือกดื่มเครื่องประเภทใดแทน...

หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามหลักโภชนาการ นอกจากรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่แล้ว ร่างกายยังต้องการน้ำเฉลี่ยวันละ 2.5 ลิตรหรือราว 8 แก้ว เพื่อนำไปใช้ในระบบต่างๆของร่างกาย เช่น หล่อเลี้ยงเซลล์ ขับถ่าย ระบายความร้อน หากไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอ ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ระดับของโซเดียม โปแตสเซียม และคลอไรด์ ไม่สมดุล

เมื่อร่างกายประสบกับภาวะขาดน้ำ เราจะรู้สึกกระหายน้ำ ผิวหนังไม่มีความยืดหยุ่น ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อยลง อารมณ์ฉุนเฉียว สับสน อาการเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่จะแสดงออกมาเมื่อร่างกายไม่สามารถจัดสรรปันส่วนน้ำที่มีอยู่น้อยนิดให้เพียงพอต่อความต้องการของอวัยวะสำคัญ เสี่ยงที่จะเกิดอาการจุกเสียด แน่นหน้าอก ท้องอืด คลื่นไส้

เครื่องดื่มเสริมอื่นๆอาจมีความความจำเป็นในบางช่วงวัย เช่น วัยเด็กที่กำลังเจริญเติบโตและผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกพรุน อาจมีการเสริมแคลเซี่ยมโดยให้ดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำ หรือ ขณะที่บางโรคอาจต้องมีการเสริมปริมาณเครื่องดื่ม ยกตัวอย่างเช่น การดื่มน้ำเกลือแร่โออาร์เอสในผู้ป่วยโรคท้องร่วง การดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อช่วยในการขับถ่ายในกรณีของผู้ป่วยที่มีปัญหาท้องผูก เป็นต้น

รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยา สรุปในตอนท้ายว่า สำหรับวิถีชีวิตของคนโดยทั่วไปแล้ว น้ำสะอาดที่ผ่านการต้มแล้วนับว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ในราคาประหยัด ถ้าหากสนใจจะหาซื้อเครื่องดื่มอื่นๆมาบริโภค ควรอ่านฉลากโภชนาการที่แสดงไว้บริเวณด้านข้างของผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นข้อมูลช่วยตัดสินใจว่า เครื่องดื่มชนิดนั้นให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ก่อโรค และมีราคาคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ภาวะใดบ้างที่เราควรดื่มน้ำให้มากขึ้น

สูญเสียเลือด ระหว่างวันเราควรดื่มน้ำมากที่สุด ราว ¾ - 1 แก้ว ในแต่ละครั้ง และให้บ่อยเท่าที่เป็นไปได้ น้ำปริมาณนี้ มีค่าเท่ากับ 130-180 มิลลิลิตร ในแต่ละครั้ง

เป็นไข้ เวลาเป็นไข้ควรจิบน้ำบ่อยๆ เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไปจากการระเหยออกทางผิวหนัง การที่น้ำระเหยออกไป จะช่วยลดความร้อนจากอาการไข้ ทำให้ร่างกายเย็นลง นอกจากนี้ยังช่วยลดอัตราการเปลี่ยนสารอาหารเป็นพลังงานและโปรตีนในร่างกาย ลดการสร้างความร้อน และเพิ่มอัตราการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย

ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การดื่มน้ำมากๆ ระหว่างที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ จะช่วยเพิ่มการผลิตปัสสาวะ และล้างเอาเชื้อโรคออกไปได้เร็วขึ้น

เป็นโรคปวดตามข้อหรือกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการเกี่ยวข้องกับการบวมของข้อต่อ กล้ามเนื้อ ผิวบริเวณข้อต่อ จะทำให้รู้สึกปวด ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำจะช่วยเจือจางเลือด และลดระดับกรดยูริก (ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเปลี่ยนสารอาหารเป็นโปรตีน) ที่ปะปนอยู่ในเลือดให้ถูกขับออกไปพร้อมปัสสาวะประโยชน์ของเครื่องดื่มแบบชีวจิต

สำหรับชาวชีวจิตเองนั้นนอกจากการดื่มน้ำเปล่าที่ไม่แช่เย็นแล้ว ยังมีเครื่องดื่มที่เปรียบเสมือนตัวช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิชีวิต อย่าง น้ำอาร์ซี น้ำเอ็นไซม์ และน้ำชาสุขภาพ ด้วย คุณสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้ในหนังสือที่เขียนโดยอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ได้แก่ ชีวจิต มะเร็งแห่งชีวิต รวมไปถึงข้อมูลในเวบไซต์นิตยสารชีวจิต ซึ่งจะระบุถึงประโยชน์และวิธีการทำไว้โดยละเอียดค่ะ

น้ำอาร์ซี ต้มจากข้าว 9 ชนิด มีข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย ลูกบัว ข้าวมันปู ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวกล้อง ข้าวโอ๊ต ซึ่งมีกลูโคส DNA และ RNA ช่วยแก้อ่อนเพลีย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ควรดื่มเวลาเช้าและท้องว่าง หากเก็บใส่กระติกให้อุ่นอยู่เสมอสามารถนำมาดื่มได้ตลอดวัน แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ลองดื่มน้ำอาร์ซี เสริมภูมิชีวิตกันดีกว่า

น้ำเอนไซม์ คั้นจากเครื่องคั้นแยกกากหรือกรองและคั้นด้วยผ้าขาวบาง ห้ามใช้เครื่องปั่นไฟฟ้าเพราะจะทำให้เอนไซม์ตาย ใช้ผักและผลไม้มาคั้น เช่น แครอท เซเลอรี่ รากบัวหลวง มะระ กระเทียม แคนตาลูป ลูกใต้ใบ ช่วยเสริมการทำงานของระบบต่างในร่างกาย ฆ่าเชื้อโรค ล้างไขมัน ฟอกเลือด สมานแผลในกระเพาะอาหาร ควรดื่มวันละ 1 แก้วเวลาท้องว่าง งดดื่มน้ำหวานรสผลไม้ที่มีแต่น้ำตาลกับสารปรุงแต่งสีกลิ่นรส หันมาทำน้ำเอ็นไซม์ดื่มเองกันเถอะ

น้ำชาสุขภาพ ประโยชน์ขึ้นอยู่กับชนิดของสมุนไพรที่ใช้ ได้แก่ เถาวัลย์เปรียง เตยหอม เก็กฮวย รากบัว มะตูม ตะไคร้ ดอกคำฝอย โดยทั่วไปจะช่วยบำรุงสุขภาพ แก้จุกเสียด ช่วยเจริญอาหาร ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ เป็นต้น นำมาต้มใช้ดื่มได้ตลอดวัน เลือกดื่มชาสมุนไพรที่มีสรรพคุณเหมาะกับภาวะสุขภาพ ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ใช้เยียวยาหรือบำบัดอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทำไมเด็กไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ



คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ
เด็กไทยชอบเกมคอมพิวเตอร์มากกว่าหนังสือคนไทยไม่รักการอ่าน
นี่คือ ๒ ปัญหาสำคัญของประเทศไทยที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของเรา

มันเกิดจากอะไร และจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร
นี่คือสิ่งที่หลายๆ องค์กร ทั้งของรัฐและเอกชนต่างพยายามช่วยกันแก้ไขมากว่า ๑๐ ปีแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก ยิ่งเมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ที่เป็นคู่แข่งของเราในการทำมาหากินอยู่ในทุกวันนี้ และประเทศที่คาดว่าอาจจะเป็นคู่แข่งของเราในอนาคต สิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จของเราก็ดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลยิ่งนัก ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำก่อนที่จะเดินหน้าทุ่มเทเพื่อการแก้ปัญหาต่อไปก็คือการทบทวนปัญหาและสถานการณ์ของปัญหาใหม่โดยละเอียด ทบทวนยุทธศาสตร์และวิธีการที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันว่ายังสอดคล้องกับปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ และสามารถที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่

ทำไมเด็กไทย และคนไทยจึงไม่ชอบอ่านหนังสือ
เดิมเรามองว่าการที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่อ่านหนังสือ เป็นเพราะเขามองไม่เห็นความสำคัญ มองไม่เห็นประโยชน์ของการอ่าน ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องทั้งหมด จริงๆ แล้วทุกคนรู้ถึงประโยชน์ของการอ่านหนังสือ เห็นได้จากพ่อแม่พยายามเคี่ยวเข็ญให้ลูกที่ยังเป็นนักเรียน ที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่อ่านหนังสือ ท่องตำหรับตำรา เพื่อที่จะสามารถสอบได้คะแนนดีๆ จบมาจะได้มีโอกาสหางานดีๆ ทำได้ ซึ่งหากวิเคราะห์ตรงนี้ให้ดี มันน่าจะหมายความว่า การอ่านสำหรับผู้ใหญ่ หรือคนที่เป็นพ่อแม่แล้ว มันมีความหมายเพียงแค่เครื่องมือชนิดหนึ่งในการเรียนหนังสือให้ได้ดีเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านหนังสืออีกต่อไป เหตุผลที่ช่วยสนับสนุนตรงนี้ก็คือ เมื่อเรียนจบและได้ทำงานแล้วคนไทยส่วนใหญ่ก็มักจะไม่อ่านหนังสืออีก หรืออ่านก็เพียงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเท่านั้น
สภาพการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบการศึกษาในบ้านเรายังไม่สามารถทำให้ผลผลิตของการศึกษากลายเป็นผลผลิตที่มองเห็นความจำเป็นของการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การอ่านและการเรียนรู้เป็นเพียงบันไดเพื่อการได้มาซึ่งวุฒิการศึกษา เพื่อเป็นใบเบิกทางในการก้าวเข้าไปสู่การมีงานทำ
เมื่อผู้ใหญ่ในปัจจุบันไม่เห็นความจำเป็นของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ก็จะไม่มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง พฤติกรรมที่ปรากฏชัดแก่สายตาของเด็กรุ่นหลังๆ ก็คือการไม่อ่าน ซึ่งเด็กก็จะเกิดการซึมซับ และลอกเลียนเอาพฤติกรรมเหล่านี้ไปเป็นพฤติกรรมของตัวเอง แม้ผู้ใหญ่จะพร่ำบ่นถึงความสำคัญของการอ่านมากเพียงใด มันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เด็กหันมาให้ความสำคัญกับการอ่าน และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องได้ เพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่แสดงออกมานั้นมันสื่อเป็นนัยว่า “ไม่ต้องอ่านก็ได้ เพราะผู้ใหญ่ก็ยังไม่อ่านเลย”

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ในทางจิตวิทยาเราพบว่า หากสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนและสิ่งที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติมีความขัดแย้งกัน เด็กจะทำตามในสิ่งที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติ ซึ่งมีความสอดคล้องกับการค้นพบใหม่ในทางประสาทวิทยาศาสตร์ นั่นคือการค้นพบเซลล์กระจกเงาในสมองของมนุษย์ การค้นพบนี้ทำให้เรารู้ว่า วิธีเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือการเรียนรู้ด้วยการเลียนแบบพฤติกรรมทางสังคม ทักษะทางสังคม ทักษะทางภาษา ทักษะทางอาชีพ หรือแม้แต่ทักษะในการดำรงชีวิตประจำวันวัน เราต่างเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบทั้งสิ้น
การอ่านและการเรียนรู้คือพฤติกรรมหรือทักษะ ที่เป็นทั้งพฤติกรรมส่วนบุคคล และพฤติกรรมของสังคม ย่อมต้องเรียนรู้ผ่านการมีแบบอย่างให้เห็น ในเมื่อผู้ใหญ่ก็ไม่อ่านไม่เรียนรู้เสียแล้ว จะพร่ำบ่นพร่ำสอนอย่างไร มันก็จะไม่สามารถก่อให้บังเกิดผลใดๆ ขึ้นมา
เรื่องนี้คือปมที่สำคัญที่สุดของการส่งเสริมการอ่านในบ้านเรา เราช่วยกันรณรงค์ให้พ่อแม่เล่านิทานอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกยังแบเบาะมาหลายปีแล้ว แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น แถมงานวิจัยบางชิ้นยังพบว่า แม้เด็กจะชอบการอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเล็ก แต่พอโตขึ้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น เด็กกลับอ่านหนังสือน้อยลง เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เราไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กๆ ของเรา
ดังนั้นการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ด้วยการส่งเสริมให้พ่อแม่เล่านิทานอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ การส่งเสริมให้วัยรุ่นรักการอ่าน โดยการสร้างห้องสมุดที่ดึงดูดความสนใจหรือที่เราพยายามเรียกว่า “ห้องสมุดมีชีวิต” จึงไม่น่าจะพอเพียงสำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการอ่านให้สัมฤทธ์ผลได้ การโน้มน้าวผู้ใหญ่ทุกคนให้หันมาอ่านหนังสือ หันมาเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ใหม่ๆ ให้กับตนเองอยู่ตลอด ทำให้การอ่านหนังสือกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ขาดไม่ได้ ทำให้การเรียนรู้คือสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต อยู่อย่างมีความสุขของทุกคนในสังคม วัตรปฏิบัติเช่นนี้จะกลายเป็นต้นแบบให้เด็กได้ลอกเลียน และเมื่อรวมกับวิธีการอื่นๆ ที่ได้ลงมือทำไปแล้ว ก็น่าที่จะทำให้สถานการณ์ของการแก้ไขปัญหาดีขึ้น

แรงดึงดูดของสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
คนญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นนักอ่านระดับต้นๆ ของโลก โดยดูได้จากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ บนรถไฟ รถประจำทางในญี่ปุ่น ภาพคนนั่ง ยืนอ่านหนังสือเป็นภาพที่เราพบเห็นจนชินตา แต่ไม่กี่ปีมานี้เองรัฐบาล และเอกชนญี่ปุ่นต้องเร่งรณรงค์ส่งเสริมการอ่านอย่างขนานใหญ่ เพราะเขาพบว่าเด็กญี่ปุ่นรุ่นใหม่อ่านหนังสือน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก สาเหตุเนื่องมาจากเกมคอมพิวเตอร์และ อินเตอร์เน็ตได้เข้ามาดึงดูดความสนใจ และเวลาของพวกเขาไปจากหนังสือ
สำหรับประเทศไทย อัตราการอ่านหนังสือของเราต่ำกว่าของญี่ปุ่นอยู่มาก แต่อิทธิพลของเกมคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตนั้นไม่แตกต่างกัน เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเราหลงไปเข้าใจผิดว่า เกมคอมพิวเตอร์คือเครื่องมือพัฒนามนุษย์ที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียใดๆ เราจึงส่งเสริมให้เด็กๆ ของเราเล่นเกมเหล่านี้โดยปราศจากการควบคุม สุดท้ายปัญหาเด็กติดเกมเลยกลายเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับบ้านเรา แน่นอนสิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการปลูกฝังวัฒนธรรมการอ่านให้กับเด็กของเรา ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเรื่องการอ่าน และการสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้น เราต้องพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบเหล่านี้ด้วย
การกระจายหนังสือสู่ผู้อ่าน
ได้กล่าวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า คนไทยส่วนใหญ่มองว่าการอ่านหนังสือไม่มีความจำเป็นต่อชีวิต และยิ่งมาเจอกับสภาพที่ไม่มีหนังสือให้อ่าน ไม่มีห้องสมุด ไม่มีร้านหนังสือที่สามารถซื้อหาหนังสือมาอ่านได้ด้วยราคาที่ไม่เป็นภาระมากนัก ก็ยิ่งทำให้อัตราการอ่านหนังสือของคนไทยยิ่งน้อยลง
มีคนพูดว่าในบ้านเราถ้าหากจะหาซื้อเหล้าเบียร์มาดื่ม ซื้อบุหรี่มาสูบนั้น สามารถทำได้ง่ายกว่าการหาหนังสือพิมพ์สักฉบับมาอ่าน นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับ ร้านขายหนังสือในบ้านเราจะมีก็เพียงในระดับอำเภอ ระดับจังหวัดเท่านั้น ซึ่งหากนับรวมกันทั้งประเทศแล้วก็ไม่น่าจะเกิน ๑,๕๐๐ แห่ง เมื่อมาเปรียบเทียบกับคนจำนวน ๖๕ ล้านคนแล้ว ถือว่าน้อยมาก ลองคิดดูเล่นๆ ว่าหากมีใครสักคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งห่างจากตัวอำเภอเพียงแค่ ๒๐ กิโลเมตร วันดีคืนดีเขาอยากอ่านหนังสือสักเล่ม หรือหนังสือพิมพ์สักฉบับขึ้นมา สิ่งที่เขาจะต้องทำก็คือการหาทางเดินทางเข้าไปในอำเภอ จะด้วยพาหนะส่วนตัวหรือรถประจำทางก็ตามที เพื่อไปห้องสมุดหรือร้านขายหนังสือ เขาจำเป็นจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๒ ชั่วโมงเพื่อการนี้ และก็จะเกิดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมา เพียงแค่คิดก็คงพอจะได้คำตอบแล้วว่า เขายังอยากที่จะอ่านหนังสืออยู่อีกหรือไม่ ความไม่สะดวกในการเข้าถึงหนังสือและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จึงกลายเป็นอุปสรรคอีกอันหนึ่งที่ขวางกั้นการรักการอ่านของผู้คนในสังคมไทย
รัฐบาลพยายามที่จะสร้างโอกาสในการเข้าถึงหนังสือของคนไทยให้มากขึ้น ด้วยการสร้างห้องสมุดประชาชนให้กระจายไปตามชุมชนหรือท้องถิ่นต่างๆ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะห้องสมุดที่มีอยู่ก็มีเพียงแค่ในระดับอำเภอ ซึ่งปัญหาก็ไม่ต่างจากการกระจายตัวของร้านหนังสือ คือไกลเสียจนคนไม่อยากเดินทางมาใช้บริการ การสร้างที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านตามนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน ก็สามารถสนับสนุนได้เพียงหนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร และสิ่งพิมพ์เผยแพร่งานของทางราชการเพียงไม่กี่รายการ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะดึงดูดให้ประชาชนเกิดความสนใจใคร่ที่จะอ่าน หรือค้นคว้าหาความรู้ให้กับตนเอง
ในส่วนขององค์กรท้องถิ่นที่กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทแทนที่กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ก็ยังไม่สามารถพัฒนาตนเองไปสู่บทบาทของการสนับสนุนให้ประชาชนเกิดความตระหนักในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เกิดความรูสึกรักการอ่าน หรือสนับสนุนให้เกิดแหล่งค้นคว้าหาความรู้ในท้องถิ่นได้ ส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป เพราะยังให้ความสำคัญอยู่กับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และโครงสรางพื้นฐานกันอยู่

หนังสือดียังมีไม่เพียงพอ
ท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของผู้เขียนนวนิยายเรื่อง แฮรี่ พอร์ตเตอร์ หนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกกันมาบ้างแล้ว จากคนฐานะธรรมดาๆ แถมออกจะจนด้วยซ้ำไปคนหนึ่ง แต่ด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียวก็สามารถทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีในเวลาไม่กี่ปี เธอเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาอังกฤษ ด้วยความสนุกสนานของหนังสือเล่มนี้ทำให้มันถูกนำไปแปลเป็นอีกไม่รู้กี่ภาษาเพื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก รายได้กลับมาสู่เธอเป็นกอบเป็นกำ ทำให้เธอไม่ต้องพะวงกับเรื่องการทำมาหากิน เธอสามารถทุ่มเทเวลาให้กับการค้นคว้าและสร้างผลงานต่อเนื่องได้อย่างเต็มที่ หนังสือเล่มต่อเนื่องของ แฮรี่ พอร์ตเตอร์ จึงปรากฏสู่สายตาผู้อ่านเล่มแล้วเล่มเล่า และก็ขายดีเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดเธอก็กลายเป็นเศรษฐีมีอันดับของโลกไป
การที่หนังสือสักเล่มจะขายได้ดีนั้นไม่ใช่เพราะความบังเอิญ หากแต่เป็นจากคุณภาพของตัวหนังสือเอง นั่นก็หมายความว่าผู้เขียนจะต้องมีความรู้ที่ชัดแจ้ง มีจินตนาการ มีทักษะในการถ่ายทอดเรื่องราวหรือความรู้ต่างๆ ออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างมีเสน่ห์ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการฝึกฝน ค้นคว้า ซึ่งก็หมายความว่าต้องอาศัยเวลาในการทำงานนั่นเอง และการที่นักเขียนจะทำแบบนี้ได้นั้นรายได้จากการเขียนหนังสือก็จะต้องมากพอเพียงที่จะเลี้ยงตัวเขาเองในระหว่างการค้นคว้าข้อมูล และการเขียนหนังสือ ผู้เขียนหนังสือ แฮรี่ พอร์ตเตอร์ ใช้เวลาเป็นปีในการค้นคว้าเรียบเรียงและเขียนหนังสือแต่ละเล่ม โดยไม่ต้องพะวงกับการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองเลย รายได้จากการเขียนหนังสือเล่มก่อนๆ ทำให้เธออยู่ได้อย่างสบาย ดังนั้นหนังสือของเธอจึงมีคุณภาพ เมื่อมาอยู่ในตลาดสากลที่ใหญ่มากเพราะเป็นตลาดภาษาอังกฤษที่คนทั้งโลกใช้ ก็ยิ่งทำให้ผลตอบแทนยิ่งมากขึ้น
ซึ่งตรงกันข้ามอย่างยิ่งกับนักเขียนไทย หนังสือเรื่องหนึ่งหากขายได้เกินหนึ่งหมื่นเล่ม นักเขียนและสำนักพิมพ์ก็ดีใจกันจนแทบแย่แล้ว เพราะตลาดมันแคบ แถมคนไทยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสืออีกด้วย นักเขียนไทยจึงอยู่ในสภาพที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดตลอดเวลา โอกาสที่จะได้ค้นคว้าข้อมูลอย่างเต็มที่ โอกาสที่จะได้ทำงานอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เกิดผลงานดีๆ จึงเป็นไปได้ยาก คำว่า “นักเขียนไส้แห้ง” จึงเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับวงการนักเขียนไทย คนที่ก้าวเข้ามาสู่อาชีพนักเขียนอย่างเต็มตัวจึงมีน้อย เพราะต่างก็กลัวโรคไส้แห้งกัน โอกาสที่เราจะมีหนังสือดีๆ ในหลากหลายมิติ หลากหลายสาระให้เลือกอ่านจึงเป็นไปได้น้อย

คนไม่ชอบอ่านหนังสือเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับชีวิต ทำให้หนังสือขายได้น้อย ทำให้คนเขียนหนังสือ คนพิมพ์หนังสือ คนขายหนังสือไม่กล้าลงทุนทำหนังสือ ไม่มีกำลังใจที่จะสร้างผลงาน เพราะกลัวขายหนังสือไม่ได้ ทำให้ปริมาณและคุณภาพของหนังสือลดลง ต้นทุนของหนังสือเพิ่มขึ้น หนังสือมีราคาแพง คนไม่กล้าซื้ออ่าน นี่คือวัฏจักรที่หมุนเวียนอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้นในสังคมไทย การจะแก้ปัญหานิสัยไม่ชอบอ่านหนังสือของคนไทยให้ได้ผล จึงจะต้องมองปัญหาเหล่านี้ให้ทะลุ มองอย่างเชื่อมโยงและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เราจึงจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

8 วิธีคลายเครียดทันใจ


อย่าปล่อยให้ชีวิตต้องจมอยู่กับความเครียดจากการทำงานอันเร่งรีบและเรียกร้อง ลองใช้วิธีการต่อไปนี้ที่ได้ชื่อว่าช่วยในการคลายเครียดให้คุณได้อย่างทันใจเสมอ
1. จดบันทึก การจดบันทึกมีประโยชน์หลายอย่าง เป็นทั้งการทบทวนตัวเอง ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการสำรวจถึงทางออกที่เป็นไปได้ต่อปัญหาเหล่านี้ สามารถช่วยคุณในการย่อยสลายอารมณ์ความรู้สึกอันยากลำบากต่างๆ และเป็นหนทางในการต่อสู้กับความเครียดในอนาคต

2. การทำสมาธิ มีหลายวิธีในการทำสมาธิ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดก็ตาม การฝึกทำสมาธิสามารถลดความเครียดได้อย่างมหาศาล และต่อสู้กับปฏิกิริยาในแง่ลบจากความเครียด และเมื่อคุณผ่อนคลาย คำตอบของปัญหาที่ทำให้คุณเครียดก็จะมาถึงคุณเองในแบบที่ง่ายดายและชัดเจน

3. พูดกับเพื่อน การพูดสิ่งต่างๆ ออกมากับเพื่อน สามารถกระจายอารมณ์และความตึงเครียดของคุณออกมาได้ และช่วยให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในปัญหาของตัวเอง และเพื่อนอาจถามคำถามที่สอดรู้สอดเห็นบางอย่าง ซึ่งจะทำให้คุณคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองในแบบที่แตกต่างออกไป

4. การพูดกับตัวเอง การพูดกับตัวเองในแง่ลบ สามารถทำให้เกิดความเครียดได้มากกว่าที่คนส่วนใหญ่จะรู้ตัว เราหมายถึงเสียงเล็กๆ ในหัวของคุณที่ประเมินสิ่งต่างๆ ที่คุณพบอยู่ และเกี่ยวกับตัวคุณเอง ลองเปลี่ยนจากการพูดกับตัวเองในแง่ลบ มาเป็นการพูดถึงตัวเองในแง่ดี มันอาจต้องใช้การสำรวจตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเลือกคำพูดที่จะใช้กับตัวเอง แต่ผลที่ได้รับก็คือความรู้สึกมั่นใจและความเครียดที่ผ่อนคลายลง

5. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังทำงานมากเกินไปและเครียดเกินไป มันอาจถึงเวลาที่คุณจะเรียนรู้วิธีที่จะบอกปฏิเสธกับผู้คนที่เรียกร้องเวลาจากคุณ การปฏิเสธจะทำให้คุณรู้สึกว่ามีอำนาจมากขึ้น และคุณสามารถป้องกันไม่ให้ชีวิตยุ่งเหยิงเกินไป จนวงจรความเครียดดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง คุณสามารถมองเข้าไปในตัวเองเพื่อดูว่าทำไมคุณจึงไม่เคยปฏิเสธใคร และใช้วิธีการใหม่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

6. ฝึกการหายใจ การหายใจเข้าลึกๆ เป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ง่ายดาย และมีประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกาย รวมถึงการเติมออกซิเจนในเลือด ที่ช่วยปลุกสมองให้ตื่นตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และทำให้จิตใจความคิดสงบ การฝึกหัดหายใจสามารถทำได้ทุกหนทุกแห่ง และได้ผลอย่างรวดเร็วจนคุณสามารถคลายเครียดได้ในพริบตา

7. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ด้วยการเกร็งและคลายกลุ่มกล้ามเนื้อทั้งหลายในร่างกาย คุณสามารถผ่อนคลายความตึงเครียด และรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องมีการฝึกฝนหรือใช้เครื่องมือพิเศษใดๆ เริ่มด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งหมดบนใบหน้า แยกเขี้ยวและยิ้มค้างไว้ 10 วินาที แล้วผ่อนคลาย 10 วินาที ทำซ้ำกับกล้ามเนื้อคอตามด้วยไหล่ และกล้ามเนื้ออื่นๆ คุณสามารถทำแบบนี้ ที่ไหนก็ได้ และขณะที่คุณทำ คุณจะพบว่าตัวเองผ่อนคลายได้เร็วกว่าและง่ายกว่า

8. การออกกำลัง คนจำนวนมากออกกำลังเพื่อควบคุมน้ำหนักและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี แต่การออกกำลังกับการจัดการความเครียดก็มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การออกกำลังทำให้เราหันเหความสนใจไปจากสถานการณ์อันตึงเครียดเช่นเดียวกับเป็นทางออกของความหงุดหงิดคับข้องใจ และทำให้คุณชื่นบานด้วยการหลั่งของเอ็นดอร์ฟิน