วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

9 วิธี ให้คุณหันมาดื่มน้ำมากขึ้น



1.ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะการดื่มน้ำตอนทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอด ทั้งวัน

2. บีบน้ำมะนาวใส่นิดๆ หากคุณรู้สึกยี้กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่มเพื่อช่วยเพิ่ม รสชาติให้กับน้ำ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่มักใช้วิธีนี้ พบว่าได้ผล และ สำหรับใครที่ต้องออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สะดวก เพราะที่ผ่านมาผู้เขียนก็มักขอให้พนักงานเสิรฟนำมะนาวชิ้นบางๆมาเสริฟให้ พร้อมน้ำเปล่า ซึ่งแม้จะดูเป็นการเรื่องมากไปซักนิด แต่ภัตตาคารส่วนใหญ่ก็ยินดีจะเพิ่มบริการนี้ให้

3.ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่าร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ

4.คิดดูซิว่าคุณจะน่ารักขนาดไหน? "ฉันไม่รู้ว่าการดื่มน้ำมากๆ จะมีผลโดยตรงอย่างไรต่อระบบการหมุนเวียนของ โลหิตและการมีสุขภาพผิวดี เปล่งปลั่ง แต่ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่มน้ำ ตราบเท่าที่ฉันคิดว่าน้ำจะช่วยให้ฉันมีผิวที่ดี ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิง"

5.ถ้าร้อนนัก ก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่นๆซักแก้วไว้ที่มืออาจช่วยให้คุณลดอารมณ์ เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณในรูปของ ปัสสาวะ

6.ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บางครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอกๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง

7.เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่ายๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น

8. ถูก และ ถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรี แบบไม่อั้น

9.หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อนๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

โกจิเบอร์รี่ สุดยอดผลไม้ชะลอความแก่



เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ทําไมดาวจรัสฟ้าแห่งวงการมายาฮอลลีวู้ดหลายๆ คนถึงไม่ยอมแก่ลงเลย ไม่ว่าจะเจอสักกี่ปีก็เหมือนหยุดอายุผิวให้คงอ่อนเยาว์ กระจ่างใสได้ตลอดเวลา เคล็ดลับของพวกเธออยู่ที่ผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ อย่าง "ผลโกจิเบอร์รี่" ที่เรียกได้ว่าจิ๋วแต่แจ๋ว เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของ "สารแอนติออกซิแดนท์"

"ผลโกจิเบอร์รี่" เป็นผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณไม่เคยได้ยินชื่อของโกจิเบอร์รี่มาก่อน เพราะถึงแม้ว่าผลไม้ดังกล่าวจะเป็นยาโบราณที่สําคัญ ที่ใช้ในประเทศเอเชียมาหลายชั่วอายุคนก็ตาม แต่ความลับด้านประโยชน์ทางโภชนาการของผลดังกล่าว ยังคงเป็นความลับที่ชาวโลกส่วนมากยังไม่ทราบ

ย้อนไป 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล นักสมุนไพรชาวหิมาลายันได้ค้นพบความลับที่มีค่ามากที่สุดคือ ผลโกจิเบอร์รี่ท้องถิ่น ซึ่งต่อมาได้รับการถ่ายทอดสู่นักปรุงยาชาวจีน ทิเบต และอินเดีย จากการค้นคว้าและวิจัยของ Dr. Earl Mindell ค้นพบว่าผลโกจิเบอร์รี่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสารแอนติออกซิแดนท์ในปริมาณมากถึง 25,300 (ในขณะที่ลูกพรุนซึ่งมีสารแอนติ-ออกซิแดนท์เป็นลําดับที่ 2 มีเพียง 5,700 ORAC เท่านั้น) โดยสารออกซิแดนท์ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อแก่ตัวลงเป็นสาเหตุสําคัญของความแก่ก่อนวัยอัน ควร

ผลโกจิเบอร์รี่แต่ละลูกประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด ธาตุอาหาร 21 ชนิด มีโปรตีนมากกว่าโฮลวีท มีสารแอนติออกซิแดนท์คาโรทินอยด์อีกจํานวนมาก รวมทั้งวิตามินซีที่มีระดับสูงกว่าผลส้ม ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโกจิเบอร์รี่

ซึ่งอินไซด์ของผู้หญิงไทยที่พบว่า ผิวอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาติดอันดับต้นๆ และร้อยละ 85 ของผู้หญิงเชื่อว่าปัญหาผิวสามารถชะลอและป้องกันได้

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิธีทำให้ความจำดีขึ้น



1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆ สาวๆ นั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์

2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ขึ้น

3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุด คือ จดทุกอย่างลงในกระดาษเขียนไว้กันลืม

4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอ จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆ ก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆ เข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆ เข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เราคุ้นเคย

6. ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่เด็ก

7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆ หรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน

8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคย

9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ.. การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอนั้น จะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ

10. เลียนแบบ ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆ ก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด

11. เอาใจใส่ เคยจำชื่อใครสักคนไม่ได้บ้างหรือเปล่า ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆ นั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้

13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย

14. ลองทำสิ่งใหม่ๆ จะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

15. ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า

ถ้าใครอยากมีความจำที่ดีขึ้น ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

เครื่องดื่มแบบไหนก่อโรค



ประเภทของเครื่องดื่มในท้องตลาด

เครื่องดื่มที่เราเห็นว่ามีหลากหลายชนิดในท้องตลาดนั้นมีการกำหนดความหมายและแบ่งประเภทโดย คณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมความปลอดภัยและกำหนดมาตรฐานด้านอาหารตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยแบ่งเครื่องดื่มเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มี 4 ประเภทย่อย

น้ำผลไม้ เช่น น้ำผลไม้แท้ น้ำผลไม้ผสม น้ำหวานเข้มข้นผสมน้ำผลไม้

เครื่องดื่มอัดแก๊ส เช่น น้ำโซดา น้ำอัดลม

เครื่องดื่มกระตุ้นประสาท เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

น้ำนม เช่น นมสด นมผสมจากนมผง นมปรุงแต่งรส น้ำนมถั่วเหลือง

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 แบ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกเป็น 2 ประเภทย่อย

สุราแช่หรือเมรัย คือ ผลที่ได้จากการหมักส่า ให้เกิดสุราที่มีความเข้มข้น แอลกอฮอล์มากน้อยตามความต้องการโดยไม่เกิน 15 ดีกรี และไม่มีการกลั่น เช่น เบียร์ ไวน์ แชมเปญ หรือสุรากลั่นจากผลไม้ต่าง ๆ สุรากลั่น คือผลที่ได้จากการหมักส่าให้เกิดมีแอลกอฮอล์แล้วกลั่น และบางชนิดต้องเก็บไว้นานเพื่อให้มีคุณภาพดี อาจปรุงแต่ง ให้มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ตามความต้องการ เช่น บรั่นดี วิสกี้ เหล้าขาว เชียงชุน เครื่องดื่มยอดนิยมกับผลกระทบต่อสุขภาพ

รายงานของสถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี ระบุว่า ปัจจุบันนี้เด็กไทย 6 ใน 10 คนบริโภคน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากนมหวาน รองลงไปจะเป็นขนมหวานและน้ำอัดลม ส่งผลให้เด็กไทยป่วยด้วยโรคฟันผุ โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ มากขึ้นเป็นประวัติการณ์

ต่อมาในวัยรุ่นและวัยทำงานพบว่า สุราแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ไม่ว่าวันหยุดหรือเทศกาลใดๆก็มักจะมีการดื่มสุรา ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ประชากรไทยติดอันดับชาติที่ดื่มสุราสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยชายวัยทำงานอายุ 20-45 ปี ดื่มสุราสูงสุดถึงร้อยละ 75 ส่วนวัยรุ่นทั้งชายและหญิงต่างก็มีแนวโน้มการดื่มสุราสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าตกใจคือวัยรุ่นหญิงอายุ 11 ก็เริ่มดื่มสุรากันแล้ว

สถาบันวิจัยยาเสพติด ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่วัยรุ่นหญิงนิยมดื่ม ได้แก่ สุราต่างประเทศ สุราผสมผลไม้ หรือ ไวน์คูลเลอร์ เพราะเชื่อว่ามีแอลกอฮอล์น้อยดื่มแล้วไม่เมา ในต่างประเทศมีการวิจัยพฤติกรรมการบริโภคสุราผสมผลไม้ หรือ RTD (Ready To Drink) พบว่า เครื่องดื่มประเภทนี้เป็นประตูบานแรกที่เปิดให้เยาวชนกลายเป็นผู้เสพติดสุราในที่สุด

หากพิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อสุขภาพแล้ว ในส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้นมีผลลบต่อสุขภาพชัดเจน แต่ในส่วนของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์นั้น ผู้บริโภคอาจมีความรู้สึกว่า ผลกระทบต่อสุขภาพที่แฝงอยู่อาจยังไม่ชัดเจนเท่าไรนักจึงมองข้ามผลเสียไป ทั้งๆที่เมื่อศึกษาจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับส่วนประกอบในเครื่องดื่มแล้วจะพบว่า หากดื่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์บางประเภทในปริมาณมากติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนตัดใจเลือกซื้อเครื่องดื่มครั้งต่อไปกัน ลองตามไปสำรวจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเครื่องดื่มและผลกระทบต่อสุขภาพ...ดีไหมคะ ส่วนประกอบของเครื่องดื่ม น้ำรสผลไม้ให้แต่น้ำตาล

เครื่องดื่มยอดนิยมที่เด็กๆหรือแม้แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ชื่นชอบ เพราะมีรสอร่อยและรู้สึกเหมือนได้ดื่มน้ำผลไม้ หาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกกว่าน้ำผลไม้คั้นสดหลายเท่าตัวส่วนประกอบ

สารแต่งกลิ่น สี รส ปริมาณสารปรุงแต่งเหล่านี้ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็ไปสะสมที่ตับและร่างกายส่วนอื่น เพิ่มโอกาสให้เกิดความผิดปรกติของเซลล์จนกลายเป็นมะเร็งได้

น้ำตาล เมื่อคุ้นชินกับการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานเสียตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ต้องบริโภคในปริมาณที่มากขึ้นจนกลายเป็นอาการติดน้ำตาล บางรายอาจจะแสดงออกด้วยอาการทางจิต เช่น ซึมเศร้า กระสับกระส่าย เดี๋ยวอารมณ์ดีเดี๋ยวอารมณ์ร้าย สมาธิสั้น มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

เพิ่มโอกาสเสี่ยงโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ไฮโปไกลซีเมียหรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

มีอาการแพ้ที่ผิวหนัง ปรากฏเป็นผื่นคันหรือลมพิษขึ้นเป็นปื้นๆ ตามนิ้ว แขนขาชา

โรคในช่องปาก ฟันผุ

น้ำอัดลมซ่ากว่าที่คิด

เครื่องดื่ม ที่เดิมเคยครองสัดส่วนการตลาดของเครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยรสซ่าและหวาน ที่ได้รับการโฆษณาว่า สร้างความสดชื่นและดับกระหายได้เป็นอย่างดีส่วนประกอบ

น้ำตาล ในน้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลตั้งแต่ร้อยละ 10-15 ซึ่งนับว่าสูงมาก ลองเปรียบเทียบง่ายๆว่า ในน้ำอัดลม 1 กระป๋องขนาด 250 มิลลิลิตร มีปริมาณน้ำตาลราว 3 ช้อนชา การดื่มเครื่องดื่มซึ่งมีปริมาณน้ำตาลสูงเช่นนี้เป็นประจำทำให้ตับอ่อนทำงานผิดพลาด ก่อให้เกิดโรคอื่นๆที่สัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดได้ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน เป็นต้น

กรดคาร์บอนิก น้ำอัดลมยังมีการปรุงแต่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเพิ่มอีก 2 ประการ ได้แก่ การเติมกรดปรุงแต่งรสในน้ำอัดลม ซึ่งมีค่า ph โดยประมาณเท่ากับ 3.4 ซึ่งค่าความเป็นกรดนี้สามารถกัดกร่อนฟันและกระดูกได้ ส่วนการอัดแก๊สที่เติมเข้าไปอีกนั้นช่วยให้เกิดความซ่าชวนดื่ม อาจทำให้ท้องอืดเพราะมีแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป เกิดอาการระคายแก่ผนังกระเพาะอาหาร เสี่ยงต่อการเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารในระยะยาว กระดูกและเคลือบฟันผุกร่อนเร็วกว่าปรกติ ด้วยเหตุนี้ทำให้น้ำอัดลมจึงเป็นเครื่องดื่มต้องห้ามในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและผู้ป่วยด้วยโรคกระเพาะอาหาร

สารปรุงแต่งรสและสารกันบูด สารเหล่านี้อาจตกค้างในร่างกายและสะสมในตับ ทำให้การทำงานของตับลดลง ไปสู่โรคเกี่ยวกับตับ เช่น มะเร็งตับ ได้

คาเฟอีน ส่วนประกอบในน้ำอัดลมประเภทน้ำสีดำที่สกัดได้จากเมล็ดโคคาจึงมีคาเฟอีนตามธรรมชาติอยู่ แม้กระนั้นก็ยังมีการเติมคาเฟอีนเพิ่มในกระบวนการผลิตซ้ำอีก ดังนั้นจึงมีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง เด็กและสตรีมีครรภ์จึงไม่ควรดื่ม ส่วนน้ำอัดลมประเภทที่มีสีใส ประเภทแต่งสีแต่งกลิ่นเลียนแบบผลไม้ แม้ไม่มีคาเฟอีนผสมอยู่แต่ก็มีความหวานจัดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

ผลจากการดื่มน้ำอัดลมมีให้เห็นในภาพยนต์สารคดีเรื่อง Supersize Me อันโด่งดัง ซึ่งเรื่องจริงของ มอร์แกน สเปอร์ล๊อค ชายหนุ่มชาวอเมริกันผู้ทดลองกินอาหารฟาสต์ฟู้ดและดื่มน้ำอัดลมแก้วโตทุกมื้อติดต่อกัน เป็นเวลา 30 วัน

เมื่อครบกำหนดการทดลอง ปรากฏว่า น้ำหนักตัวของมอร์แกนเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 10 กิโลกรัม พุงโย้ กล้ามเนื้อเหี่ยว ร่างกายขาดสารอาหารจำเป็นประเภทวิตามิน เกลือแร่เกือบทุกตัว ตับและไตถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง และแพทย์ลงความเห็นว่า หากมอร์แกนไม่หยุดการทดลองเขาอาจช็อคและเสียชีวิตจากอาการไตวายได้เครื่องดื่มเกลือแร่ทำลายสุขภาพคุณแน่

เครื่องดื่มประเภทนี้ได้รับการโฆษณาว่า เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายหรือสูญเสียเหงื่อมาก มีรสหวานและเค็มเล็กน้อย มีการปรุงแต่งรสด้วยสีและกลิ่นผลไม้ส่วนประกอบ

น้ำตาลและสารปรุงแต่งรส มีปริมาณไม่สูงมากเมื่อเทียบกับน้ำอัดลมและน้ำหวานรสผลไม้

เกลือแร่ต่างๆ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม ไบคาร์บอนเนต จากส่วนประกอบดังกล่าวบวกกับเทคนิคในการโฆษณาทำให้ประชาชนรู้สึกว่า เครื่องดื่มชนิดนี้เหมาะกับนักกีฬาและผู้ที่มีเหงื่อออกมาก

แต่ข้อเท็จจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบก็คือ เครื่องดื่มเกลือแร่ควรใช้กับผู้ที่เสียเหงื่อมากๆโดยผิดจากภาวะปรกติที่ร่างกายเคยชิน เช่น ในกรณีนักกีฬาที่เคยอยู่ในเขตหนาว เมื่อมาแข่งขันในแถบร้อน แล้วร่างกายปรับตัวไม่ทัน จะพบว่าเหงื่อออกมากขณะลงสนาม และอ่อนเพลียจากการสูญเสียเกลือแร่ได้ เป็นต้น แตถ้าเป็นการเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายตามปรกติ รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยา ให้คำแนะนำว่า การดื่มน้ำเปล่าเพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไปก็เพียงพอ และถ้ายิ่งเป็นนักกีฬาที่มีการฝึกซ้อมทุกวันด้วยแล้ว ก็แทบจะไม่จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่เสริมอีก เพราะร่างกายจะสามารถปรับตัวต่อการเสียเหงื่อเป็นประจำโดยไม่จำเป็นต้องให้เกลือแร่ชดเชยผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

หากร่างกายของเราได้รับเกลือแร่ต่างๆ จากอาหารเพียงพออยู่แล้ว การบริโภคเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีเกลือโซเดียมมากเกินไป อาจเป็นอันตรายโดยเฉพาะในผู้ที่ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคไต ในกรณีของเด็กและทารกไม่ควรดื่ม เพราะอาจเกิดการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายได้เครื่องดื่มชูกำลังให้คาเฟอีนมากเกิน เนื่องจากชื่อเดิมที่ให้ผลบวกด้านจิตวิทยาแก่ผู้บริโภคว่า ดื่มแล้วมีกำลัง สามารถทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่รู้สึกอ่อนเพลีย รัฐบาลได้คำนึงถึงช่องว่างดังกล่าวแล้วมองเห็นถึงผลกระทบของการบริโภคคาเฟอีนสังเคราะห์ซึ่งผสมอยู่เครื่องดื่มชนิดนี้ในปริมาณสูงจึงได้กำหนดให้เรียกชื่อเครื่องดื่มชูกำลังใหม่ว่าเป็น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนส่วนประกอบ

น้ำตาล ไวตามินต่างๆ ผู้ดื่มอาจรู้สึกสดชื่นนั้นเนื่องจากได้รับน้ำตาลเข้าไป ส่วนวิตามินและสารอื่นๆ เช่น สารกลูคูโรโนแลคโตน สารอันโนซีทอล สารเทาริน ที่ฉลากข้างขวดมักจะระบุว่า มีส่วนช่วยบำรุงตับ หัวใจนั้น ในความเป็นจริงยังไม่ปรากฏผลทางวิชาการมารับรองว่า ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากการดื่มสารเหล่านั้นเข้าไปโดยตรง

คาเฟอีนสังเคราะห์ ในเครื่องดื่มประเภทนี้มีการเติมคาเฟอีนสังเคราะห์ซึ่งไม่ใช้คาเฟอีนธรรมชาติเหมือนที่พบในน้ำอัดลมหรือกาแฟ โดยปริมาณคาเฟอีนที่ผสมจะอยู่ที่ 50-100 มิลลิกรัม ต่อ ขวดบรรจุ 100 มิลลิลิตร ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

บุคคลทั่วไปไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกินวันละ 300 มิลลิกรัม ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากปริมาณคาเฟอีนที่ผสมอยู่จึงมีคำเตือนว่า ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม เพราะนอกจากจะมีผลกระทบต่อการทำงานของตับแล้ว ยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กและทารกในครรภ์

ในส่วนของวิตามินที่อ้างว่าผสมในเครื่องดื่มประเภทนี้กว่า 10 ชนิดนั้น หากเรารับประทานผักผลไม้เพียงพอแล้ว ร่างกายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมวิตามินหรือสารอาหารอื่นๆจากการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้เข้าไปอีกเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์นำไปสู่การเสพติด

เครื่องดื่มกลุ่มนี้ถือเป็นก้าวแรกที่นำวัยรุ่น ไปสู่ถนนนักดื่มได้โดยง่าย เพราะมีรสหวานเนื่องจากมีการปรุงรส สี กลิ่น หรือผสมน้ำผลไม้ ทำให้ชวนดื่ม ไม่มีรสขมจัดอย่างเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในดีกรีสูงๆส่วนประกอบ

น้ำหวานรสผลไม้หรือน้ำผลไม้ ปริมาณน้ำตาลไม่สูงเท่าน้ำอัดลมและน้ำหวานรสผลไม้

แอลกอฮอล์ แม้จะมีประมาณแอลกอฮอล์ที่ดูเหมือนไม่มากนัก คือ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6-9 แต่หากดื่มติดต่อกันตั้งแต่ 5 ขวด (ปริมาณบรรจุขวดละ 250 มิลลิลิตร) ขึ้นไปก็ทำให้มึนเมาได้ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

ผลโดยตรงจากการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ไม่น่ากลัวเท่าผลทางอ้อมที่ชักจูงให้วัยรุ่นโดยเฉพาะวันรุ่นหญิงกล้าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ดีกรีสูงขึ้นต่อไปโดยง่าย รายงานจาก สถาบันวิจัยยาเสพติด ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การที่เด็กเริ่มต้นทำตัวเป็นนักดื่มตั้งแต่ก่อนอายุ 13 ปี มีโอกาสติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปจนโต ซึ่งมีกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 10 ปี ประมาณร้อยละ 4.7 ที่เริ่มดื่ม เมื่อเทียบอายุเฉลี่ยของคนไทยที่เริ่มดื่มแอลกอฮอล์ อยู่ที่ 20.5 ปี จะเห็นว่าเร็วจนน่าตกใจมากเครื่องดื่มจำเป็นต่อร่างกายหรือไม่ หากเครื่องดื่มยอดนิยมมีผลลบต่อสุขภาพเช่นนี้แล้ว เราควรเลือกดื่มเครื่องประเภทใดแทน...

หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามหลักโภชนาการ นอกจากรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่แล้ว ร่างกายยังต้องการน้ำเฉลี่ยวันละ 2.5 ลิตรหรือราว 8 แก้ว เพื่อนำไปใช้ในระบบต่างๆของร่างกาย เช่น หล่อเลี้ยงเซลล์ ขับถ่าย ระบายความร้อน หากไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอ ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ระดับของโซเดียม โปแตสเซียม และคลอไรด์ ไม่สมดุล

เมื่อร่างกายประสบกับภาวะขาดน้ำ เราจะรู้สึกกระหายน้ำ ผิวหนังไม่มีความยืดหยุ่น ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อยลง อารมณ์ฉุนเฉียว สับสน อาการเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่จะแสดงออกมาเมื่อร่างกายไม่สามารถจัดสรรปันส่วนน้ำที่มีอยู่น้อยนิดให้เพียงพอต่อความต้องการของอวัยวะสำคัญ เสี่ยงที่จะเกิดอาการจุกเสียด แน่นหน้าอก ท้องอืด คลื่นไส้

เครื่องดื่มเสริมอื่นๆอาจมีความความจำเป็นในบางช่วงวัย เช่น วัยเด็กที่กำลังเจริญเติบโตและผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกพรุน อาจมีการเสริมแคลเซี่ยมโดยให้ดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำ หรือ ขณะที่บางโรคอาจต้องมีการเสริมปริมาณเครื่องดื่ม ยกตัวอย่างเช่น การดื่มน้ำเกลือแร่โออาร์เอสในผู้ป่วยโรคท้องร่วง การดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อช่วยในการขับถ่ายในกรณีของผู้ป่วยที่มีปัญหาท้องผูก เป็นต้น

รองศาสตราจารย์ ดร.กัลยา สรุปในตอนท้ายว่า สำหรับวิถีชีวิตของคนโดยทั่วไปแล้ว น้ำสะอาดที่ผ่านการต้มแล้วนับว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ในราคาประหยัด ถ้าหากสนใจจะหาซื้อเครื่องดื่มอื่นๆมาบริโภค ควรอ่านฉลากโภชนาการที่แสดงไว้บริเวณด้านข้างของผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นข้อมูลช่วยตัดสินใจว่า เครื่องดื่มชนิดนั้นให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ก่อโรค และมีราคาคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ภาวะใดบ้างที่เราควรดื่มน้ำให้มากขึ้น

สูญเสียเลือด ระหว่างวันเราควรดื่มน้ำมากที่สุด ราว ¾ - 1 แก้ว ในแต่ละครั้ง และให้บ่อยเท่าที่เป็นไปได้ น้ำปริมาณนี้ มีค่าเท่ากับ 130-180 มิลลิลิตร ในแต่ละครั้ง

เป็นไข้ เวลาเป็นไข้ควรจิบน้ำบ่อยๆ เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไปจากการระเหยออกทางผิวหนัง การที่น้ำระเหยออกไป จะช่วยลดความร้อนจากอาการไข้ ทำให้ร่างกายเย็นลง นอกจากนี้ยังช่วยลดอัตราการเปลี่ยนสารอาหารเป็นพลังงานและโปรตีนในร่างกาย ลดการสร้างความร้อน และเพิ่มอัตราการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย

ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การดื่มน้ำมากๆ ระหว่างที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ จะช่วยเพิ่มการผลิตปัสสาวะ และล้างเอาเชื้อโรคออกไปได้เร็วขึ้น

เป็นโรคปวดตามข้อหรือกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการเกี่ยวข้องกับการบวมของข้อต่อ กล้ามเนื้อ ผิวบริเวณข้อต่อ จะทำให้รู้สึกปวด ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำจะช่วยเจือจางเลือด และลดระดับกรดยูริก (ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเปลี่ยนสารอาหารเป็นโปรตีน) ที่ปะปนอยู่ในเลือดให้ถูกขับออกไปพร้อมปัสสาวะประโยชน์ของเครื่องดื่มแบบชีวจิต

สำหรับชาวชีวจิตเองนั้นนอกจากการดื่มน้ำเปล่าที่ไม่แช่เย็นแล้ว ยังมีเครื่องดื่มที่เปรียบเสมือนตัวช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิชีวิต อย่าง น้ำอาร์ซี น้ำเอ็นไซม์ และน้ำชาสุขภาพ ด้วย คุณสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้ในหนังสือที่เขียนโดยอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ได้แก่ ชีวจิต มะเร็งแห่งชีวิต รวมไปถึงข้อมูลในเวบไซต์นิตยสารชีวจิต ซึ่งจะระบุถึงประโยชน์และวิธีการทำไว้โดยละเอียดค่ะ

น้ำอาร์ซี ต้มจากข้าว 9 ชนิด มีข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย ลูกบัว ข้าวมันปู ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวกล้อง ข้าวโอ๊ต ซึ่งมีกลูโคส DNA และ RNA ช่วยแก้อ่อนเพลีย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ควรดื่มเวลาเช้าและท้องว่าง หากเก็บใส่กระติกให้อุ่นอยู่เสมอสามารถนำมาดื่มได้ตลอดวัน แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ลองดื่มน้ำอาร์ซี เสริมภูมิชีวิตกันดีกว่า

น้ำเอนไซม์ คั้นจากเครื่องคั้นแยกกากหรือกรองและคั้นด้วยผ้าขาวบาง ห้ามใช้เครื่องปั่นไฟฟ้าเพราะจะทำให้เอนไซม์ตาย ใช้ผักและผลไม้มาคั้น เช่น แครอท เซเลอรี่ รากบัวหลวง มะระ กระเทียม แคนตาลูป ลูกใต้ใบ ช่วยเสริมการทำงานของระบบต่างในร่างกาย ฆ่าเชื้อโรค ล้างไขมัน ฟอกเลือด สมานแผลในกระเพาะอาหาร ควรดื่มวันละ 1 แก้วเวลาท้องว่าง งดดื่มน้ำหวานรสผลไม้ที่มีแต่น้ำตาลกับสารปรุงแต่งสีกลิ่นรส หันมาทำน้ำเอ็นไซม์ดื่มเองกันเถอะ

น้ำชาสุขภาพ ประโยชน์ขึ้นอยู่กับชนิดของสมุนไพรที่ใช้ ได้แก่ เถาวัลย์เปรียง เตยหอม เก็กฮวย รากบัว มะตูม ตะไคร้ ดอกคำฝอย โดยทั่วไปจะช่วยบำรุงสุขภาพ แก้จุกเสียด ช่วยเจริญอาหาร ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ เป็นต้น นำมาต้มใช้ดื่มได้ตลอดวัน เลือกดื่มชาสมุนไพรที่มีสรรพคุณเหมาะกับภาวะสุขภาพ ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ใช้เยียวยาหรือบำบัดอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทำไมเด็กไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ



คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ
เด็กไทยชอบเกมคอมพิวเตอร์มากกว่าหนังสือคนไทยไม่รักการอ่าน
นี่คือ ๒ ปัญหาสำคัญของประเทศไทยที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของเรา

มันเกิดจากอะไร และจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร
นี่คือสิ่งที่หลายๆ องค์กร ทั้งของรัฐและเอกชนต่างพยายามช่วยกันแก้ไขมากว่า ๑๐ ปีแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก ยิ่งเมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ที่เป็นคู่แข่งของเราในการทำมาหากินอยู่ในทุกวันนี้ และประเทศที่คาดว่าอาจจะเป็นคู่แข่งของเราในอนาคต สิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จของเราก็ดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลยิ่งนัก ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำก่อนที่จะเดินหน้าทุ่มเทเพื่อการแก้ปัญหาต่อไปก็คือการทบทวนปัญหาและสถานการณ์ของปัญหาใหม่โดยละเอียด ทบทวนยุทธศาสตร์และวิธีการที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันว่ายังสอดคล้องกับปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ และสามารถที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่

ทำไมเด็กไทย และคนไทยจึงไม่ชอบอ่านหนังสือ
เดิมเรามองว่าการที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่อ่านหนังสือ เป็นเพราะเขามองไม่เห็นความสำคัญ มองไม่เห็นประโยชน์ของการอ่าน ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องทั้งหมด จริงๆ แล้วทุกคนรู้ถึงประโยชน์ของการอ่านหนังสือ เห็นได้จากพ่อแม่พยายามเคี่ยวเข็ญให้ลูกที่ยังเป็นนักเรียน ที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่อ่านหนังสือ ท่องตำหรับตำรา เพื่อที่จะสามารถสอบได้คะแนนดีๆ จบมาจะได้มีโอกาสหางานดีๆ ทำได้ ซึ่งหากวิเคราะห์ตรงนี้ให้ดี มันน่าจะหมายความว่า การอ่านสำหรับผู้ใหญ่ หรือคนที่เป็นพ่อแม่แล้ว มันมีความหมายเพียงแค่เครื่องมือชนิดหนึ่งในการเรียนหนังสือให้ได้ดีเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านหนังสืออีกต่อไป เหตุผลที่ช่วยสนับสนุนตรงนี้ก็คือ เมื่อเรียนจบและได้ทำงานแล้วคนไทยส่วนใหญ่ก็มักจะไม่อ่านหนังสืออีก หรืออ่านก็เพียงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเท่านั้น
สภาพการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบการศึกษาในบ้านเรายังไม่สามารถทำให้ผลผลิตของการศึกษากลายเป็นผลผลิตที่มองเห็นความจำเป็นของการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การอ่านและการเรียนรู้เป็นเพียงบันไดเพื่อการได้มาซึ่งวุฒิการศึกษา เพื่อเป็นใบเบิกทางในการก้าวเข้าไปสู่การมีงานทำ
เมื่อผู้ใหญ่ในปัจจุบันไม่เห็นความจำเป็นของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ก็จะไม่มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง พฤติกรรมที่ปรากฏชัดแก่สายตาของเด็กรุ่นหลังๆ ก็คือการไม่อ่าน ซึ่งเด็กก็จะเกิดการซึมซับ และลอกเลียนเอาพฤติกรรมเหล่านี้ไปเป็นพฤติกรรมของตัวเอง แม้ผู้ใหญ่จะพร่ำบ่นถึงความสำคัญของการอ่านมากเพียงใด มันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เด็กหันมาให้ความสำคัญกับการอ่าน และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องได้ เพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่แสดงออกมานั้นมันสื่อเป็นนัยว่า “ไม่ต้องอ่านก็ได้ เพราะผู้ใหญ่ก็ยังไม่อ่านเลย”

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ในทางจิตวิทยาเราพบว่า หากสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนและสิ่งที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติมีความขัดแย้งกัน เด็กจะทำตามในสิ่งที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติ ซึ่งมีความสอดคล้องกับการค้นพบใหม่ในทางประสาทวิทยาศาสตร์ นั่นคือการค้นพบเซลล์กระจกเงาในสมองของมนุษย์ การค้นพบนี้ทำให้เรารู้ว่า วิธีเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือการเรียนรู้ด้วยการเลียนแบบพฤติกรรมทางสังคม ทักษะทางสังคม ทักษะทางภาษา ทักษะทางอาชีพ หรือแม้แต่ทักษะในการดำรงชีวิตประจำวันวัน เราต่างเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบทั้งสิ้น
การอ่านและการเรียนรู้คือพฤติกรรมหรือทักษะ ที่เป็นทั้งพฤติกรรมส่วนบุคคล และพฤติกรรมของสังคม ย่อมต้องเรียนรู้ผ่านการมีแบบอย่างให้เห็น ในเมื่อผู้ใหญ่ก็ไม่อ่านไม่เรียนรู้เสียแล้ว จะพร่ำบ่นพร่ำสอนอย่างไร มันก็จะไม่สามารถก่อให้บังเกิดผลใดๆ ขึ้นมา
เรื่องนี้คือปมที่สำคัญที่สุดของการส่งเสริมการอ่านในบ้านเรา เราช่วยกันรณรงค์ให้พ่อแม่เล่านิทานอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกยังแบเบาะมาหลายปีแล้ว แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น แถมงานวิจัยบางชิ้นยังพบว่า แม้เด็กจะชอบการอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเล็ก แต่พอโตขึ้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น เด็กกลับอ่านหนังสือน้อยลง เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เราไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กๆ ของเรา
ดังนั้นการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ด้วยการส่งเสริมให้พ่อแม่เล่านิทานอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ การส่งเสริมให้วัยรุ่นรักการอ่าน โดยการสร้างห้องสมุดที่ดึงดูดความสนใจหรือที่เราพยายามเรียกว่า “ห้องสมุดมีชีวิต” จึงไม่น่าจะพอเพียงสำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการอ่านให้สัมฤทธ์ผลได้ การโน้มน้าวผู้ใหญ่ทุกคนให้หันมาอ่านหนังสือ หันมาเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ใหม่ๆ ให้กับตนเองอยู่ตลอด ทำให้การอ่านหนังสือกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ขาดไม่ได้ ทำให้การเรียนรู้คือสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต อยู่อย่างมีความสุขของทุกคนในสังคม วัตรปฏิบัติเช่นนี้จะกลายเป็นต้นแบบให้เด็กได้ลอกเลียน และเมื่อรวมกับวิธีการอื่นๆ ที่ได้ลงมือทำไปแล้ว ก็น่าที่จะทำให้สถานการณ์ของการแก้ไขปัญหาดีขึ้น

แรงดึงดูดของสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
คนญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นนักอ่านระดับต้นๆ ของโลก โดยดูได้จากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ บนรถไฟ รถประจำทางในญี่ปุ่น ภาพคนนั่ง ยืนอ่านหนังสือเป็นภาพที่เราพบเห็นจนชินตา แต่ไม่กี่ปีมานี้เองรัฐบาล และเอกชนญี่ปุ่นต้องเร่งรณรงค์ส่งเสริมการอ่านอย่างขนานใหญ่ เพราะเขาพบว่าเด็กญี่ปุ่นรุ่นใหม่อ่านหนังสือน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก สาเหตุเนื่องมาจากเกมคอมพิวเตอร์และ อินเตอร์เน็ตได้เข้ามาดึงดูดความสนใจ และเวลาของพวกเขาไปจากหนังสือ
สำหรับประเทศไทย อัตราการอ่านหนังสือของเราต่ำกว่าของญี่ปุ่นอยู่มาก แต่อิทธิพลของเกมคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตนั้นไม่แตกต่างกัน เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเราหลงไปเข้าใจผิดว่า เกมคอมพิวเตอร์คือเครื่องมือพัฒนามนุษย์ที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียใดๆ เราจึงส่งเสริมให้เด็กๆ ของเราเล่นเกมเหล่านี้โดยปราศจากการควบคุม สุดท้ายปัญหาเด็กติดเกมเลยกลายเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับบ้านเรา แน่นอนสิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการปลูกฝังวัฒนธรรมการอ่านให้กับเด็กของเรา ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเรื่องการอ่าน และการสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้น เราต้องพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบเหล่านี้ด้วย
การกระจายหนังสือสู่ผู้อ่าน
ได้กล่าวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า คนไทยส่วนใหญ่มองว่าการอ่านหนังสือไม่มีความจำเป็นต่อชีวิต และยิ่งมาเจอกับสภาพที่ไม่มีหนังสือให้อ่าน ไม่มีห้องสมุด ไม่มีร้านหนังสือที่สามารถซื้อหาหนังสือมาอ่านได้ด้วยราคาที่ไม่เป็นภาระมากนัก ก็ยิ่งทำให้อัตราการอ่านหนังสือของคนไทยยิ่งน้อยลง
มีคนพูดว่าในบ้านเราถ้าหากจะหาซื้อเหล้าเบียร์มาดื่ม ซื้อบุหรี่มาสูบนั้น สามารถทำได้ง่ายกว่าการหาหนังสือพิมพ์สักฉบับมาอ่าน นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับ ร้านขายหนังสือในบ้านเราจะมีก็เพียงในระดับอำเภอ ระดับจังหวัดเท่านั้น ซึ่งหากนับรวมกันทั้งประเทศแล้วก็ไม่น่าจะเกิน ๑,๕๐๐ แห่ง เมื่อมาเปรียบเทียบกับคนจำนวน ๖๕ ล้านคนแล้ว ถือว่าน้อยมาก ลองคิดดูเล่นๆ ว่าหากมีใครสักคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งห่างจากตัวอำเภอเพียงแค่ ๒๐ กิโลเมตร วันดีคืนดีเขาอยากอ่านหนังสือสักเล่ม หรือหนังสือพิมพ์สักฉบับขึ้นมา สิ่งที่เขาจะต้องทำก็คือการหาทางเดินทางเข้าไปในอำเภอ จะด้วยพาหนะส่วนตัวหรือรถประจำทางก็ตามที เพื่อไปห้องสมุดหรือร้านขายหนังสือ เขาจำเป็นจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๒ ชั่วโมงเพื่อการนี้ และก็จะเกิดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมา เพียงแค่คิดก็คงพอจะได้คำตอบแล้วว่า เขายังอยากที่จะอ่านหนังสืออยู่อีกหรือไม่ ความไม่สะดวกในการเข้าถึงหนังสือและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จึงกลายเป็นอุปสรรคอีกอันหนึ่งที่ขวางกั้นการรักการอ่านของผู้คนในสังคมไทย
รัฐบาลพยายามที่จะสร้างโอกาสในการเข้าถึงหนังสือของคนไทยให้มากขึ้น ด้วยการสร้างห้องสมุดประชาชนให้กระจายไปตามชุมชนหรือท้องถิ่นต่างๆ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะห้องสมุดที่มีอยู่ก็มีเพียงแค่ในระดับอำเภอ ซึ่งปัญหาก็ไม่ต่างจากการกระจายตัวของร้านหนังสือ คือไกลเสียจนคนไม่อยากเดินทางมาใช้บริการ การสร้างที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านตามนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน ก็สามารถสนับสนุนได้เพียงหนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสาร และสิ่งพิมพ์เผยแพร่งานของทางราชการเพียงไม่กี่รายการ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะดึงดูดให้ประชาชนเกิดความสนใจใคร่ที่จะอ่าน หรือค้นคว้าหาความรู้ให้กับตนเอง
ในส่วนขององค์กรท้องถิ่นที่กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทแทนที่กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ก็ยังไม่สามารถพัฒนาตนเองไปสู่บทบาทของการสนับสนุนให้ประชาชนเกิดความตระหนักในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เกิดความรูสึกรักการอ่าน หรือสนับสนุนให้เกิดแหล่งค้นคว้าหาความรู้ในท้องถิ่นได้ ส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป เพราะยังให้ความสำคัญอยู่กับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และโครงสรางพื้นฐานกันอยู่

หนังสือดียังมีไม่เพียงพอ
ท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของผู้เขียนนวนิยายเรื่อง แฮรี่ พอร์ตเตอร์ หนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกกันมาบ้างแล้ว จากคนฐานะธรรมดาๆ แถมออกจะจนด้วยซ้ำไปคนหนึ่ง แต่ด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียวก็สามารถทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีในเวลาไม่กี่ปี เธอเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาอังกฤษ ด้วยความสนุกสนานของหนังสือเล่มนี้ทำให้มันถูกนำไปแปลเป็นอีกไม่รู้กี่ภาษาเพื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก รายได้กลับมาสู่เธอเป็นกอบเป็นกำ ทำให้เธอไม่ต้องพะวงกับเรื่องการทำมาหากิน เธอสามารถทุ่มเทเวลาให้กับการค้นคว้าและสร้างผลงานต่อเนื่องได้อย่างเต็มที่ หนังสือเล่มต่อเนื่องของ แฮรี่ พอร์ตเตอร์ จึงปรากฏสู่สายตาผู้อ่านเล่มแล้วเล่มเล่า และก็ขายดีเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดเธอก็กลายเป็นเศรษฐีมีอันดับของโลกไป
การที่หนังสือสักเล่มจะขายได้ดีนั้นไม่ใช่เพราะความบังเอิญ หากแต่เป็นจากคุณภาพของตัวหนังสือเอง นั่นก็หมายความว่าผู้เขียนจะต้องมีความรู้ที่ชัดแจ้ง มีจินตนาการ มีทักษะในการถ่ายทอดเรื่องราวหรือความรู้ต่างๆ ออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างมีเสน่ห์ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการฝึกฝน ค้นคว้า ซึ่งก็หมายความว่าต้องอาศัยเวลาในการทำงานนั่นเอง และการที่นักเขียนจะทำแบบนี้ได้นั้นรายได้จากการเขียนหนังสือก็จะต้องมากพอเพียงที่จะเลี้ยงตัวเขาเองในระหว่างการค้นคว้าข้อมูล และการเขียนหนังสือ ผู้เขียนหนังสือ แฮรี่ พอร์ตเตอร์ ใช้เวลาเป็นปีในการค้นคว้าเรียบเรียงและเขียนหนังสือแต่ละเล่ม โดยไม่ต้องพะวงกับการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองเลย รายได้จากการเขียนหนังสือเล่มก่อนๆ ทำให้เธออยู่ได้อย่างสบาย ดังนั้นหนังสือของเธอจึงมีคุณภาพ เมื่อมาอยู่ในตลาดสากลที่ใหญ่มากเพราะเป็นตลาดภาษาอังกฤษที่คนทั้งโลกใช้ ก็ยิ่งทำให้ผลตอบแทนยิ่งมากขึ้น
ซึ่งตรงกันข้ามอย่างยิ่งกับนักเขียนไทย หนังสือเรื่องหนึ่งหากขายได้เกินหนึ่งหมื่นเล่ม นักเขียนและสำนักพิมพ์ก็ดีใจกันจนแทบแย่แล้ว เพราะตลาดมันแคบ แถมคนไทยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสืออีกด้วย นักเขียนไทยจึงอยู่ในสภาพที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดตลอดเวลา โอกาสที่จะได้ค้นคว้าข้อมูลอย่างเต็มที่ โอกาสที่จะได้ทำงานอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เกิดผลงานดีๆ จึงเป็นไปได้ยาก คำว่า “นักเขียนไส้แห้ง” จึงเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับวงการนักเขียนไทย คนที่ก้าวเข้ามาสู่อาชีพนักเขียนอย่างเต็มตัวจึงมีน้อย เพราะต่างก็กลัวโรคไส้แห้งกัน โอกาสที่เราจะมีหนังสือดีๆ ในหลากหลายมิติ หลากหลายสาระให้เลือกอ่านจึงเป็นไปได้น้อย

คนไม่ชอบอ่านหนังสือเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับชีวิต ทำให้หนังสือขายได้น้อย ทำให้คนเขียนหนังสือ คนพิมพ์หนังสือ คนขายหนังสือไม่กล้าลงทุนทำหนังสือ ไม่มีกำลังใจที่จะสร้างผลงาน เพราะกลัวขายหนังสือไม่ได้ ทำให้ปริมาณและคุณภาพของหนังสือลดลง ต้นทุนของหนังสือเพิ่มขึ้น หนังสือมีราคาแพง คนไม่กล้าซื้ออ่าน นี่คือวัฏจักรที่หมุนเวียนอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้นในสังคมไทย การจะแก้ปัญหานิสัยไม่ชอบอ่านหนังสือของคนไทยให้ได้ผล จึงจะต้องมองปัญหาเหล่านี้ให้ทะลุ มองอย่างเชื่อมโยงและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เราจึงจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

8 วิธีคลายเครียดทันใจ


อย่าปล่อยให้ชีวิตต้องจมอยู่กับความเครียดจากการทำงานอันเร่งรีบและเรียกร้อง ลองใช้วิธีการต่อไปนี้ที่ได้ชื่อว่าช่วยในการคลายเครียดให้คุณได้อย่างทันใจเสมอ
1. จดบันทึก การจดบันทึกมีประโยชน์หลายอย่าง เป็นทั้งการทบทวนตัวเอง ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการสำรวจถึงทางออกที่เป็นไปได้ต่อปัญหาเหล่านี้ สามารถช่วยคุณในการย่อยสลายอารมณ์ความรู้สึกอันยากลำบากต่างๆ และเป็นหนทางในการต่อสู้กับความเครียดในอนาคต

2. การทำสมาธิ มีหลายวิธีในการทำสมาธิ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดก็ตาม การฝึกทำสมาธิสามารถลดความเครียดได้อย่างมหาศาล และต่อสู้กับปฏิกิริยาในแง่ลบจากความเครียด และเมื่อคุณผ่อนคลาย คำตอบของปัญหาที่ทำให้คุณเครียดก็จะมาถึงคุณเองในแบบที่ง่ายดายและชัดเจน

3. พูดกับเพื่อน การพูดสิ่งต่างๆ ออกมากับเพื่อน สามารถกระจายอารมณ์และความตึงเครียดของคุณออกมาได้ และช่วยให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในปัญหาของตัวเอง และเพื่อนอาจถามคำถามที่สอดรู้สอดเห็นบางอย่าง ซึ่งจะทำให้คุณคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองในแบบที่แตกต่างออกไป

4. การพูดกับตัวเอง การพูดกับตัวเองในแง่ลบ สามารถทำให้เกิดความเครียดได้มากกว่าที่คนส่วนใหญ่จะรู้ตัว เราหมายถึงเสียงเล็กๆ ในหัวของคุณที่ประเมินสิ่งต่างๆ ที่คุณพบอยู่ และเกี่ยวกับตัวคุณเอง ลองเปลี่ยนจากการพูดกับตัวเองในแง่ลบ มาเป็นการพูดถึงตัวเองในแง่ดี มันอาจต้องใช้การสำรวจตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเลือกคำพูดที่จะใช้กับตัวเอง แต่ผลที่ได้รับก็คือความรู้สึกมั่นใจและความเครียดที่ผ่อนคลายลง

5. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังทำงานมากเกินไปและเครียดเกินไป มันอาจถึงเวลาที่คุณจะเรียนรู้วิธีที่จะบอกปฏิเสธกับผู้คนที่เรียกร้องเวลาจากคุณ การปฏิเสธจะทำให้คุณรู้สึกว่ามีอำนาจมากขึ้น และคุณสามารถป้องกันไม่ให้ชีวิตยุ่งเหยิงเกินไป จนวงจรความเครียดดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง คุณสามารถมองเข้าไปในตัวเองเพื่อดูว่าทำไมคุณจึงไม่เคยปฏิเสธใคร และใช้วิธีการใหม่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

6. ฝึกการหายใจ การหายใจเข้าลึกๆ เป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ง่ายดาย และมีประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกาย รวมถึงการเติมออกซิเจนในเลือด ที่ช่วยปลุกสมองให้ตื่นตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และทำให้จิตใจความคิดสงบ การฝึกหัดหายใจสามารถทำได้ทุกหนทุกแห่ง และได้ผลอย่างรวดเร็วจนคุณสามารถคลายเครียดได้ในพริบตา

7. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ด้วยการเกร็งและคลายกลุ่มกล้ามเนื้อทั้งหลายในร่างกาย คุณสามารถผ่อนคลายความตึงเครียด และรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องมีการฝึกฝนหรือใช้เครื่องมือพิเศษใดๆ เริ่มด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งหมดบนใบหน้า แยกเขี้ยวและยิ้มค้างไว้ 10 วินาที แล้วผ่อนคลาย 10 วินาที ทำซ้ำกับกล้ามเนื้อคอตามด้วยไหล่ และกล้ามเนื้ออื่นๆ คุณสามารถทำแบบนี้ ที่ไหนก็ได้ และขณะที่คุณทำ คุณจะพบว่าตัวเองผ่อนคลายได้เร็วกว่าและง่ายกว่า

8. การออกกำลัง คนจำนวนมากออกกำลังเพื่อควบคุมน้ำหนักและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี แต่การออกกำลังกับการจัดการความเครียดก็มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การออกกำลังทำให้เราหันเหความสนใจไปจากสถานการณ์อันตึงเครียดเช่นเดียวกับเป็นทางออกของความหงุดหงิดคับข้องใจ และทำให้คุณชื่นบานด้วยการหลั่งของเอ็นดอร์ฟิน

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

เวลา... และความรัก




ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ …
ไม่จำเป็นต้องใช้เวลา แต่บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว …
ต้องอาศัยเวลาเป็นตัว ชำระล้าง หรือ รักษามัน …
"เวลา" บางคร้งก็ไม่จำเป็น สำหรับคนสองคน …
บางทีก็อาจจะจำเป็นอย่างมาก
แต่ถึงเวลาที่เราสองคน
เจอกันมาจะน้อยเกินไป
แต่ฉันก็ยังคิด "รักเธอ" ได้
เพราะเวลามันไม่สำคัญอะไร ต่อฉันเท่าไร
เวลามันไม่จำเป็นที่จะกำหนดคำว่า
"รัก" ได้ สรุป "เวลา" มันไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่า …
"ฉัน" จะรัก "เธอ"
ได้ตอนไหน แต่เวลาเป็นตัวบ่งชี้ว่า …
ความสัมพันธ์ของเราสองคน …
จะไปได้นานสักแค่ไหนเท่านั้น เพื่อน ๆ ว่าจริงไหม …?

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552

เพื่อนสนิท


ความต่าง


2 คำที่มีความหมาย...



หนึ่งคำ.....มาจากความรู้สึกทั้งหมดที่มี...

อีกหนึ่งคำ....มาจากความรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำ...

" รั ก "

คำนี้จะมากด้วยความหมาย

......ถ้าออกมาจาก"หัวใจ"จริง-จริง

เอ่ยคำ-คำนี้ ให้คนของใจ มากแค่ไหนกัน?

บางคนเก็บไว้.....ทั้ง-ทั้ง ที่อีกฝ่ายต้องการที่จะได้ยิน...

บางคนบอกบ่อยเกินไป....จนอีกฝ่ายรู้สึกว่าง่ายเกินไป...

บอกรักแค่ไหนกัน ถึงจะพอดี...

คิดว่า.....คงต้องดู"คนของใจ"เป็นสำคัญ

ความใส่ใจในตัวเขาทั้งการกระทำและความรู้สึก...

....จะทำให้เรารู้จักเขาเป็นอย่างดี

และก็จะรู้ว่าเราควรจะบอกรักได้บ่อยมากแค่ไหน

บางทีความใส่ใจเล็ก-เล็ก...น้อย-น้อย....

ที่หลาย-หลายคนมองข้ามไป.....

อาจกลายเป็นส่วนหนึ่ง...ที่ทำให้เขาประทับใจในตัวเรา...

แบบไม่มีวันลืมก็ได้.....

" ข อ โ ท ษ "

คำนี้เป็นคำที่สามารถสานสายสัมพันธ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์...

ไม่เข้าใจกัน..........ขอโทษเพื่อปรับความ

เข้าใจกันเข้าใจผิดกัน.........ขอโทษพร้อมคำอธิบาย

แต่เช่นกันกับคำว่ารัก....

ถ้าออกมาจาก"หัวใจ" จริง-จริง...

ถ้าไม่บอกบ่อยครั้ง....จนเกินความพอดี...

ถ้าไม่เคยเอ่ยออกมาเลย.....เพราะทิฐิที่มี....

ฉันรู้แต่ว่า.....ถ้าฉันทำให้เขาโกรธ...

ฉันจะขอโทษ.....และอธิบายให้เข้าใจ

ฉันจะพูดเพื่อความเข้าใจกัน....

ฉันจะพูดเพื่อความรักของเรา....

กว่าเราจะคบกันมาได้นานและรักกันได้อย่างนี้....

ถ้าต้องจบลงเพราะเรื่องเดิม-เดิม แต่ละเลยที่จะปรับความเข้าใจกัน....

คงต้องถามตัวเองแล้วว่า.....

นี่เราไม่ได้รักเขาเหรอ.....

นี่เราไม่ได้ใส่ใจความรักของเราเหรอ....

เพียงแต่พูดคำว่า"ขอโทษ"พร้อมกับ"คำอธิบาย"....ไม่กี่ประโยค

ทำไม่ได้เหรอไง...

ความผิดที่ดูว่ามากมาย.....และเราก็รู้สึกผิดมากเช่นกันนั้น

บางครั้งก็สามารถแก้ได้ด้วยคำว่า"ขอโทษ"เพียงคำเดียว....

ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วว่าจะใช้คำว่า"รั ก..." และ "ข อ โ ท ษ...."

ให้มากค่าแค่ไหน.........ระหว่างใจ 2 ใจ....

ให้บ่อยครั้งมากแค่ไหน....ในช่วงเวลาที่คบกัน

แต่เชื่อเถอะว่า.....คำ 2 คำ นี้....

ให้ผลทางบวกระหว่างคน 2 คน ได้เป็นอย่างดี....

อินเลิฟ26 : วิธีรัก..รักอย่างถูกวิธี



1. จงใช้เวลาแก่ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ อย่าใจเร็วด่วนได้ ความชอบพออย่างแท้ จริงจะค่อยๆ เป็นไปอย่างช้าๆ

2. จงซื่อสัตย์และเปิดเผยกับคนรัก การโกหก ไม่ซื่อสัตย์จะทำลายมิตรภาพ

3. จงกระทำต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่คุณอย่างให้ผู้อื่นเขากระทำต่อตัวคุณ

4. นึกไว้เสมอว่าคนรักของคุณไม่ใช่คนดีพร้อม ไม่มีใครดีหมดทุกอย่าง บางทีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนรัก ก็กลายเป็นความน่ารักได้ ถ้าคุณใจกว้างพอ

5. จงภูมิใจในความสำเร็จของคนที่คุณรักอย่านำไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคุณหรือคนอื่นๆ เป็นอันขาด จงมองเฉพาะที่คนรักของคุณทำได้จะมากกว่าคุณหรือน้อยกว่าคุณก็ “ดีมาก” ทั้งนั้น

6. อย่าคาดหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นเสมอ แม้คนที่กำลังรักกันแทบจะกลืนกินก็ยังมีข้อขัดแย้งหรือไม่ลงรอยได้บ้าง

7. ถ้าคุณพบคู่รักบางคู่คุยว่า เขาไม่เคยทะเลาะกันเลยก็อย่าไปใส่ใจมากนัก เพราะเขาอาจไม่ได้ พูดกันเลย หรือไม่รักกันเลยก็ได้

8. ในกรณีที่ยังไม่มีคู่รักที่แท้จริง จงเปิดใจให้โอกาสพบปะผู้คนอื่นๆ ให้มากขึ้น คุณจะได้มีโอกาสพบคนที่คุณอยากรักจริงๆ ได้

9. จงมีส่วนร่วมต่อการสร้างความสัมพันธ์ อย่าคิดถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ ถ้าคุณให้ของขวัญราคาแพงแก่คนรัก แต่เขาตอบแทนด้วยของขวัญราคาด้วยกว่าก็ไม่เป็นไรเพราะเขาอาจไม่ สามารถให้อะไรกับตัวคุณได้เท่าที่คุณคาดหวังเอาไว้ ฝ่ายที่รับของจากคนรัก จงหาทางตอบแทนเสมอ แม้จะไม่เท่าและไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร อย่าเป็นฝ่ายรับฝ่ายเดียว

10. จงเป็นนักฟังที่ดี แสดงว่าคุณเอาใจใส่และสนใจเขา เท่ากับแสดงว่าเขาเป็นคนสำคัญ

11. จงยิ้มกับคนรักเสมอ การยิ้มทำให้รู้สึกว่าคุณเป็นคนมีมิตรไมตรี

12. อย่าเปิดเผยความลับ หรือนินทาคนรักลับหลัง เพราะจะเป็นพิษต่อความรักอย่างยิ่ง

13. อย่าใช้ความรักไปหลอกลวงคนอื่น

14. จงถามเพื่อนที่สนิทว่า คุณมีจุดเด่นที่น่าประทับใจ หรือจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ทุกคนมีจุดอ่อนในตัว คุณจะได้พัฒนา ปรับปรุงตัวเองให้น่ารักมากขึ้น

15. จงให้เวลาสำหรับความรักและคนรัก อย่าโหมทำงานมาก หรือออกสังคมมากไป จนทำให้สูญเสียคนที่เรารักและห่วงใยไป

16. จงบอกคนรักว่า เขาทำให้คุณสุขหรือสบายใจอย่างไร เขาพอใจที่จะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นเช่น “อยู่กับคุณแล้วรู้สึกสบายใจและมั่นใจดีมาก”

17. อย่าพูดตัดพ้อ หรือต่อว่าโดยไม่คิด เช่น “คุณผิดเวลาอีกแล้ว” หรือ หรือ “คุณไม่รักฉันจริง” แต่จงบอกคนรักว่า “ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ใจคิดถึงคุณจัง” ทำนองนั้น

18. อย่าท้อแท้เมื่อเกิดความเข้าใจผิดหรือขัดใจกัน จงทำสิ่งที่เลวร้ายให้กลายเป็นสิ่งที่ดีงามต่อไป โดยมุ่งมั่นถึงการรักษาสัมพันธภาพที่ดีเอาไว้ และพยายามควบคุมช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นเอาไว้ ให้ได้

19. เรียนรู้อารมณ์ของคนที่คุณรัก อย่าหวังว่าเขาจะสดชื่น หรือเอาใจเก่งตลอดเวลาในยามเขาเคร่งเครียดเหน็ดเหนื่อยจงอย่าสั่ง แต่จงให้ความสบายกายและความสบายใจแก่เขาตลอด

20. อย่าลืมคำชมเชย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแก่ทุกคน จงชมคนที่คุณรัก คำชมจะทำให้ความรักยั่งยืน

21. จงมีกิจกรรมร่วมกันที่สนุกสนาน เช่น การเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่ลำบากนัก เล่นกีฬาบางอย่างด้วยกันหรือเดินเล่นด้วยกัน เป็นต้น

22.กิจกรรมบางอย่างที่เราไม่ชอบแต่คนรักชอบก็น่าจะลองกิจกรรมเหล่านั้นดูบ้าง

23. สนใจและช่วยจัดการในสิ่งจำเป็นของอีกฝ่ายหนึ่งเช่น ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายจะเดินทางไปไกล จงคิดว่าเขาน่าจะต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง จงช่วยจัดหาหรือเพิ่มเติมให้เขานั้นแสดงถึงความเอาใจใส่ เขาอย่างแท้จริง 24. อย่าคาดหวังว่าคนรักจะให้สิ่งที่คุณต้องการได้ครบถ้วน เพราะจะทำให้คุณผิดหวัง และเป็นอันตรายต่อความรัก

25. อย่าดูหมิ่นหรือดูถูกคนรักว่าด้อยกว่า หรือเป็นหนี้บุญคุณ จงมองคนรักเหมือนคนที่เพิ่งพบและรู้ จักกัน และรักกันใหม่ๆ ทำให้เกิดความสนใจใยดีอยู่เสมอๆ ทุกๆ วัน ไม่เกิดความเบื่อหน่าย จำเจ

26. อย่าบีบบังคับความรัก เพราะความรักไม่อาจสร้างขึ้นตามความต้องการได้ แต่จงปล่อยให้มันพัฒนาไปตามเงื่อนไขของมันเอง อาจจะเริ่มจากมิตรภาพก่อนแล้วกลายเป็นความรักก็ได้


อินเลิฟ26 : วิธีรัก..รักอย่างถูกวิธี
1. จงใช้เวลาแก่ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ อย่าใจเร็วด่วนได้ ความชอบพออย่างแท้ จริงจะค่อยๆ เป็นไปอย่างช้าๆ 2. จงซื่อสัตย์และเปิดเผยกับคนรัก การโกหก ไม่ซื่อสัตย์จะทำลายมิตรภาพ 3. จงกระทำต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่คุณอย่างให้ผู้อื่นเขากระทำต่อตัวคุณ 4. นึกไว้เสมอว่าคนรักของคุณไม่ใช่คนดีพร้อม ไม่มีใครดีหมดทุกอย่าง บางทีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนรัก ก็กลายเป็นความน่ารักได้ ถ้าคุณใจกว้างพอ 5. จงภูมิใจในความสำเร็จของคนที่คุณรักอย่านำไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคุณหรือคนอื่นๆ เป็นอันขาด จงมองเฉพาะที่คนรักของคุณทำได้จะมากกว่าคุณหรือน้อยกว่าคุณก็ “ดีมาก” ทั้งนั้น 6. อย่าคาดหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นเสมอ แม้คนที่กำลังรักกันแทบจะกลืนกินก็ยังมีข้อขัดแย้งหรือไม่ลงรอยได้บ้าง 7. ถ้าคุณพบคู่รักบางคู่คุยว่า เขาไม่เคยทะเลาะกันเลยก็อย่าไปใส่ใจมากนัก เพราะเขาอาจไม่ได้ พูดกันเลย หรือไม่รักกันเลยก็ได้ 8. ในกรณีที่ยังไม่มีคู่รักที่แท้จริง จงเปิดใจให้โอกาสพบปะผู้คนอื่นๆ ให้มากขึ้น คุณจะได้มีโอกาสพบคนที่คุณอยากรักจริงๆ ได้ 9. จงมีส่วนร่วมต่อการสร้างความสัมพันธ์ อย่าคิดถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ ถ้าคุณให้ของขวัญราคาแพงแก่คนรัก แต่เขาตอบแทนด้วยของขวัญราคาด้วยกว่าก็ไม่เป็นไรเพราะเขาอาจไม่ สามารถให้อะไรกับตัวคุณได้เท่าที่คุณคาดหวังเอาไว้ ฝ่ายที่รับของจากคนรัก จงหาทางตอบแทนเสมอ แม้จะไม่เท่าและไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร อย่าเป็นฝ่ายรับฝ่ายเดียว 10. จงเป็นนักฟังที่ดี แสดงว่าคุณเอาใจใส่และสนใจเขา เท่ากับแสดงว่าเขาเป็นคนสำคัญ 11. จงยิ้มกับคนรักเสมอ การยิ้มทำให้รู้สึกว่าคุณเป็นคนมีมิตรไมตรี 12. อย่าเปิดเผยความลับ หรือนินทาคนรักลับหลัง เพราะจะเป็นพิษต่อความรักอย่างยิ่ง 13. อย่าใช้ความรักไปหลอกลวงคนอื่น 14. จงถามเพื่อนที่สนิทว่า คุณมีจุดเด่นที่น่าประทับใจ หรือจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ทุกคนมีจุดอ่อนในตัว คุณจะได้พัฒนา ปรับปรุงตัวเองให้น่ารักมากขึ้น 15. จงให้เวลาสำหรับความรักและคนรัก อย่าโหมทำงานมาก หรือออกสังคมมากไป จนทำให้สูญเสียคนที่เรารักและห่วงใยไป 16. จงบอกคนรักว่า เขาทำให้คุณสุขหรือสบายใจอย่างไร เขาพอใจที่จะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นเช่น “อยู่กับคุณแล้วรู้สึกสบายใจและมั่นใจดีมาก” 17. อย่าพูดตัดพ้อ หรือต่อว่าโดยไม่คิด เช่น “คุณผิดเวลาอีกแล้ว” หรือ หรือ “คุณไม่รักฉันจริง” แต่จงบอกคนรักว่า “ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ใจคิดถึงคุณจัง” ทำนองนั้น 18. อย่าท้อแท้เมื่อเกิดความเข้าใจผิดหรือขัดใจกัน จงทำสิ่งที่เลวร้ายให้กลายเป็นสิ่งที่ดีงามต่อไป โดยมุ่งมั่นถึงการรักษาสัมพันธภาพที่ดีเอาไว้ และพยายามควบคุมช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้นเอาไว้ ให้ได้ 19. เรียนรู้อารมณ์ของคนที่คุณรัก อย่าหวังว่าเขาจะสดชื่น หรือเอาใจเก่งตลอดเวลาในยามเขาเคร่งเครียดเหน็ดเหนื่อยจงอย่าสั่ง แต่จงให้ความสบายกายและความสบายใจแก่เขาตลอด 20. อย่าลืมคำชมเชย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแก่ทุกคน จงชมคนที่คุณรัก คำชมจะทำให้ความรักยั่งยืน 21. จงมีกิจกรรมร่วมกันที่สนุกสนาน เช่น การเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่ลำบากนัก เล่นกีฬาบางอย่างด้วยกันหรือเดินเล่นด้วยกัน เป็นต้น 22.กิจกรรมบางอย่างที่เราไม่ชอบแต่คนรักชอบก็น่าจะลองกิจกรรมเหล่านั้นดูบ้าง 23. สนใจและช่วยจัดการในสิ่งจำเป็นของอีกฝ่ายหนึ่งเช่น ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายจะเดินทางไปไกล จงคิดว่าเขาน่าจะต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง จงช่วยจัดหาหรือเพิ่มเติมให้เขานั้นแสดงถึงความเอาใจใส่ เขาอย่างแท้จริง 24. อย่าคาดหวังว่าคนรักจะให้สิ่งที่คุณต้องการได้ครบถ้วน เพราะจะทำให้คุณผิดหวัง และเป็นอันตรายต่อความรัก 25. อย่าดูหมิ่นหรือดูถูกคนรักว่าด้อยกว่า หรือเป็นหนี้บุญคุณ จงมองคนรักเหมือนคนที่เพิ่งพบและรู้ จักกัน และรักกันใหม่ๆ ทำให้เกิดความสนใจใยดีอยู่เสมอๆ ทุกๆ วัน ไม่เกิดความเบื่อหน่าย จำเจ 26. อย่าบีบบังคับความรัก เพราะความรักไม่อาจสร้างขึ้นตามความต้องการได้ แต่จงปล่อยให้มันพัฒนาไปตามเงื่อนไขของมันเอง อาจจะเริ่มจากมิตรภาพก่อนแล้วกลายเป็นความรักก็ได้

หลายๆ คนอ่านแล้วบอกว่าทำได้ยาก แต่อยากจะบอกว่า

ไม่มีสิ่งใดยากเกินไปหรอก ถ้าเราทำเพื่อการพัฒนาตนเอง และพัฒนาความรัก

จงใช้หลักง่ายๆ อีก 4 ข้อ คือ

1.ฝืนทำบ่อยๆ แรกๆ ทำไม่คล่อง ก็จงฝืนทำไป

2.ฝึกบ่อยๆ จนเป็นนิสัยที่ดีงาม

3.ข่มใจ อย่าเพิ่งเลิก อย่าเพิ่งท้อถอย ถ้าผลออกมาไม่ถูกใจหรือเกิดความโกรธหรือเบื่อหน่ายกลางคันเสียก่อน ก็จงข่มใจทำต่อไป ช่วยทำให้เกิดการฝืนและการฝึกบ่อยๆ ได้ดีขึ้น

4.ลดตัวเองลง ต้องหมั่นลดตัวเอง อย่าอีโก้สูงนักหรือคิดถึงแต่ตัวเองหรือมาตรฐานของตัวเองตลอดเวลา เพราะจะทำให้คุณทำสิ่งใหม่ๆที่ดีๆ ไม่ได้เลย

ลองดูนะคะ แล้วคุณจะมีความรักที่งดงามในหัวใจ และความรู้สึกได้แน่ๆเป็นความสุขที่ใครๆ ก็อยากได้ เราขอให้ทุกท่านจงมีชีวิตใหม่ มีความรักใหม่ที่ดีๆ ตลอดไป

จิ๊กซอว์ที่ไม่ได้อยู่ข้างกัน



บนโต๊ะตัวหนึ่ง มีจิ๊กซอว์กระจัดกระจายอยู่เต็มเกลื่อนกลาด ยังไม่มีชิ้นไหนถูกปะติดปะต่อกัน ที่มุมโต๊ะด้านหนึ่ง จิ๊กซอว์สองตัวนอนสงบนิ่งอยู่ใกล้ๆกัน ลวดลายของทั้งสองเป็นสีฟ้าอ่อนของท้องฟ้ายามเช้าเหมือนกันคล้ายๆว่าจะเป็นจิกซอว์ที่อยู่ข้างกันในรูปที่สมบูรณ์จิ๊กซอว์ทั้งสองตัวจึงค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหากัน เริ่มหมุนตัวช้าๆ พยายามหามุมที่จะประสานกับอีกฝ่ายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ใช้ส่วนเว้าของเรา ไปสอดรับกับส่วนโค้งของเขาหาส่วนเว้าแหว่งของเขา มารับส่วนป้านเทอะทะของเรา.....ทั้งคู่พยายามอยู่อย่างนั้น......เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จิ๊กซอว์ทั้งสองพยายามอย่างมากที่จะต่อกันให้สนิท มุมแล้วมุมเล่าที่ลองปรับ เหลี่ยมแล้วเหลี่ยมเล่าที่พยายามประสาน ไม่มีครั้งไหนจะต่อกันได้อย่างสนิทไร้ช่องว่างส่วนเกินเลย สุดท้าย จิ๊กซอว์ตัวที่ใหญ่กว่าจึงยอมแพ้ เคลื่อนตัวจากไปจิ๊กซอว์ตัวเล็กกว่าร้องเรียกด้วยเสียงโศกเศร้า"เธอจะไปไหน ฉันทำผิดอะไรเหรอ เธอถึงต้องจากฉันไป ฉันไม่ดีตรงไหน ทำไมเธอต้องยอมแพ้แบบนี้ด้วย เธอไม่สงสารฉันเลยหรือ ไม่เสียดายวันเวลาที่เราพยายามต่อประสานให้เป็นหนึ่งเดียวกันหรือ"จิ๊กซอว์ตัวใหญ่หันกลับมาด้วยสีหน้าปวดร้าว เอ่ยเสียงเรียบ"ทำไมเธอถึงคิดว่าเธอทำผิด การที่เราต่อกันเป็นชิ้นเดียวไม่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ไม่ใช่ความผิดของฉัน เพียงเพราะว่าเราไม่ได้เป็นจิกซอว์ที่ถูกออกแบบมาให้อยู่ข้างกัน ก็เท่านั้น และฉันก็กำลังยอมรับมันด้วยความเจ็บปวด....ฉันเสียใจที่ทำเธอบอบช้ำจากการที่เราพยายามดัดตัวเองให้ประสานกับอีกฝ่าย แต่ก็รู้ใช่ไหม ว่าฉันก็บอบช้ำไม่ต่างกับเธอเลย เวลาและความพยายามของเรามันไม่สูญเปล่าไปหรอก เพราะอย่างน้อย มันก็ทำให้เรารู้ว่าส่วนโค้งของเรามันโค้งแค่ไหน ส่วนเว้าของเรามันลึกเท่าไหร่ และเราควรจะหาจิ๊กซอว์รูปร่างแบบไหนมาเติมเต็มช่องว่างที่เราขาดไป ร้องไห้อยู่ตรงนั้นเถิด และทิ้งความโศกเศร้าทั้งหมดไว้ตรงนั้น เมื่อเธอแข็งแรงดีแล้ว เธอจงตามหาจิ๊กซอว์ตัวที่ถูกสร้างมาอยู่ข้างๆเธออย่างแท้จริง ถึงวันนั้นเธอคงเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดในวันนี้"จิ๊กซอว์ตัวใหญ่จากไปแล้ว แต่เรื่องราวยังดำเนินต่อไป ร่องรอยบอบช้ำและเสียงร้องไห้ของตัวจิกซอว์มากมายยังคงแว่วมาจากทั่วทุกจุดบนโต๊ะ........สุดท้ายแล้ว จิ๊กซอว์ของภาพชื่อความรักนี้จะถูกประกอบเป็นรูปที่สมบูรณ์สวยงามได้หรือไม่....ไม่มีใครรู้และถึงตอนนี้ จิ๊กซอว์ตัวเล็กผู้น่าสงสารตัวนั้น จะเข้าใจสิ่งที่จิ๊กซอว์ตัวใหญ่พูดหรือยัง.....ไม่มีใครรู้ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของจิ๊กซอว์ตัวใหญ่ทั้งหมดคือความจริงหรือเป็นเพียงข้อแก้ตัว....ยิ่งไม่มีใครรู้
......เมื่อไหร่จะมีใครรู้......

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หมื่นตากับการเดินทางด้วยรองเท้าสีแดง

























เผยเคล็ดลับดี ๆ ในการเติมเต็มความรักให้คนรอบข้าง



‘ความรัก’ คืออะไร ‘ความรัก’ มีหน้าตาอย่างไร และ ทำไม ‘ความรัก’ ถึงทำให้เรามีความสุข ยิ้มได้เมื่ออยู่คนเดียว แต่ในบางครั้ง ‘ความรัก’ ก็มักแกล้งให้เราร้องไห้อยู่บ่อยๆ แล้วความรักในแบบฉบับของคุณเป็นแบบไหน

บางครั้งความเคยชิน ทำให้เราลืมที่จะแสดงความรักกับคนรัก หรือคนในครอบครัวไปชั่วขณะ ‘วาเลนไทน์’ นี้ ‘เดลินิวส์ออนไลน์’ จึงมีเคล็ดลับดีๆ ในการเติมเต็มความรักให้กับคนรอบข้างของคุณมาฝาก

ความรักแบบ ‘เพื่อน’

สำหรับคำว่า ‘เพื่อน’ นั้น หมายถึงคนที่จะอยู่ข้างคุณตลอดเวลาไม่ว่าเราจะสุข หรือทุกข์ และหากได้เลื่อนขั้นเป็นเพื่อนแท้แล้วล่ะก็ เขาจะปรี่ไปหาคุณทันทีที่คุณต้องการความช่วยเหลือ และยิ่งในช่วงวันแห่งความรักนี้ คนที่ยังไม่มีคู่ ‘เพื่อน’ มักจะมาอยู่ข้างคุณ ทำให้คุณไม่เหงาในช่วงวันพิเศษแบบนี้ ส่วนการที่จะบอกรักเพื่อนสักครั้ง หลายคนอาจจะเขิน หรือคิดว่ามันไม่จำเป็น แต่เมื่อยามใดที่เรารู้สึกกำลังเผชิญกับปัญหาอยู่ แล้วได้ยินเพื่อนบอกว่า ‘ฉันจะอยู่ข้างแกนะ’ แม้จะเป็นคำที่ไม่สวยหรู แต่บางครั้ง คำพูดเหล่านั้นก็เป็นกำลังใจชั้นเยี่ยม ที่จะทำให้เราต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ได้ ถ้ายังไม่กล้าพูดว่ารักเพื่อน ลองส่งเป็นข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือดูสิ ไม่แน่ว่า เพื่อนของคุณอาจจะตอบข้อความเด็ดๆ กลับมาทำให้คุณยิ้มออกมาก็ได้

ความรักแบบ ‘หนุ่ม - สาว’

เป็นความรักที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ซึ่งบางคู่อาจจะอยู่ไกลกัน หรือบางคู่อาจจะใกล้กันแค่เอื้อม แต่ไม่มีเวลาแม้แต่จะคุย ลองทำตามวิธีเหล่านี้ดู เผื่อจะช่วยให้คู่ของคุณคลิกกันลงตัวมากขึ้น วิธีแรก สำหรับสาวๆ ที่ต้องการจะบอกรักหนุ่มของคุณ ลองส่งข้อความแบบ Voice mail บอกความในใจ ไปหาสุดที่รักของคุณดู เผื่อเค้าจะเผลอยิ้มออกมาให้คุณเห็นบ้าง หรือถ้าอยู่ใกล้กันมาก ลองใช้วิธีเดิมๆ ส่งพัสดุ ที่ข้างในบรรจุสิ่งของที่เป็นความทรงจำระหว่างคุณทั้งสองลงไป เพื่อย้ำเตือนว่า ความทรงจำเกี่ยวกับความรักของคุณทั้งสอง ยังไม่ลบเลือน หรือจางลงเลย หรือถ้าเป็นสาวๆ ที่รักในการทำอาหารเป็นที่สุด ลองชวนคู่ของคุณมาช่วยกันทำอาหารดูสิ แต่ถ้าจะให้ดี ต้องเป็นเมนูที่ฝ่ายชายโปรดสุดๆ พร้อมทานอาหารภายใต้แสงเทียน ที่เคล้าคลอด้วยดนตรีบรรเลงเบาๆ สำหรับชายหนุ่ม ลองชวนคู่ของคุณไปดูหนังโรแมนติก กินข้าวในร้านอาหารที่บรรยากาศดี ๆ หรือพากันไปในที่ที่เป็นความทรงจำของคุณทั้งคู่ อย่าง สถานที่ที่เคยบอกรักครั้งแรก แล้วสมมุติเหตุการณ์ในวันนั้น ลองบอกรักกันอีกสักครั้ง รับลองโรแมนติกไม่แพ้ครั้งก่อนแน่ๆ หรือจะลองเขียนจดหมายบอกความในใจที่มีทั้งหมดลงไป แล้วนำไปแนบไว้ที่โต๊ะทำงาน ในกระเป๋าถือของแฟนคุณ หรือในที่ที่คิดว่าเขาจะเห็นได้ง่ายๆ และหยิบขึ้นมาอ่านอย่างสนใจ รับรองว่าเธอจะซาบซึ้งกับคำรักหวานๆ ของคุณแน่นอน อ้อ! ขอบอกความต้องการของสาวๆ ส่วนใหญ่สักหน่อย เมื่อถึงวันวาเลนไทน์ การรอคอยกุหลาบสีแดง ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก มักจะเป็นสิ่งที่พวกเธอต้องการอยู่ลึกๆ ข้างในหัวใจ จะมีเพียงดอกเดียว หรือว่าจะเป็นช่อใหญ่ขนาดไหนแค่ไหนไม่สำคัญ แค่คนที่ให้ใส่ความจริงใจลงไปเท่านั้น

ความรักแบบ ‘ครอบครัว’

ความรักแบบที่ว่านี้ หมายรวมถึง คู่หนุ่ม - สาวที่เพิ่งจะแต่งงาน และคู่ที่แต่งงานกันมานานจนมีพยานแห่งรักแล้ว ซึ่งการอยู่บ้านเดียวกัน เจอกันทุกวัน อาจจะทำให้อีกฝ่ายละเลยที่จะแสดงความรักออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความน้อยอกน้อยใจให้อีกฝ่ายได้ สำหรับคู่รักที่อยู่บ้านเดียวกันแบบนี้ การแสดงความรักในแบบต่างๆ ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ แค่ลองสร้างตารางความรักของคุณทั้งสองขึ้นมา อย่างเช่น วันจันทร์มีนัดกันไปทานข้าวเย็น ในอังคารต้องพากันไปดูหนัง ฯลฯ ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องเป็นกิจกรรมที่คุณทั้งคู่เต็มใจทำร่วมกัน หรือคู่ไหนที่มีพยานรักแล้ว ลองฝากลูกไว้กับคุณปู่ คุณย่า แล้วหนีไปเที่ยวต่างจังหวัดกันสองคนดูบ้างก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา หรือน้ำตก และใช้เวลาที่อยู่กันสองคนให้คุ้มค่า นั่งย้อนความหวานตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ จนถึงวันที่ขอแต่งงานดู รอยยิ้มที่จะปรากฏบนหน้าของคุณทั้งสอง จะกว้างขึ้น กว้างขึ้น ไม่เชื่อลองดูสิ แต่หากว่ามีลูกเล็ก ไปไหนไกลไม่ได้ ลองหาซีดีหรืออัลบั้มรูปวันงานแต่งงานของคุณและเขา มาเปิดดูด้วยกันอีกครั้ง จะทำให้คุณได้ย้อนไปนึกถึงคืนวันที่มีความสุข และรักกันหวานซึ้ง สุดท้ายแล้ว ความรักต้องการการฝึกฝน ความหวังทั้งหลายไม่อาจเป็นจริงได้เพียงการกระทำอย่างเดียว จะต้องผ่านความพยายามและความมาดมั่นเสียก่อน ต้องอาศัยพฤติกรรมแห่งรัก ทำบ่อยๆ เมื่อผ่านความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ความรักของคุณก็จะบานและหวานฉ่ำตลอดไป.

ดื่มชาดำหรือชาเขียวประจำห่างไกลอัมพาต



นักวิจัยโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ.ชื่อดังของสหรัฐฯ พบในการศึกษาว่า หากดื่มชาดำหรือเขียววันละ 3 ถ้วยเป็นประจำ จะช่วยปัดเป่าภัยของการเป็นอัมพาตให้ห่างไกลได้เป็นอันมาก

นักวิจัยรายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการของ "แพทย์ สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน " ฉบับออนไลน์ แจ้งว่า ได้ทำการศึกษาจากการทบทวนรายงานการศึกษาด้วยการสังเกตการณ์ ถึงความเกี่ยวพันของการเป็นอัมพาตกับการดื่มชา รวม 9 เรื่อง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับบุคคลต่างๆ รวมกัน 195,000 ราย

ศาสตราจารย์เลนอร์ อารับ อาจารย์วิชาอายุรศาสตร์ หัวหน้านักวิจัย รายงานว่า "สิ่งที่เราเห็นก็คือผลอันสม่ำเสมอ ในการดื่มชาวันละ 3 ถ้วยทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นอัมพาตลงได้ถึงร้อยละ 21 ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือชาดำ"

เขาได้บอกไว้ว่า "หนทางที่จะลดความเสี่ยงของการเป็นอัมพาตที่รู้กันมีอยู่น้อยมาก ทั้งในการรักษาด้วยการให้ยากับผู้ป่วย ยังจะต้องทำโดยไว เนื่องจากความเสียหายเกิดขึ้นเร็วมาก จึงทำให้การค้นพบนี้ดูน่าตื่นเต้น เพราะถ้าเราพบหนทางป้องกัน หรือป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ มันก็ง่ายขึ้น ก็จะนับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอันใหญ่หลวง"

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แบบทดสอบความรักของคุณจากแอปเปิ้ล



ลองมานั่งจินตนาการ ตามสถานการณ์ ต่อไปนี้ แล้วคำตอบที่ได้จะบอกอะไรๆ ได้หลายๆ อย่าง เกี่ยวกับความรักและเนื้อคู่ทีเดียวล่ะ อ๊ะๆ แต่อย่าแอบดูเฉลยก่อนล่ะ ม่ายงั้นก้อม่ายตรงอ่ะจิ

1.คุณตื่นขึ้นมาเห็นแอปเปิ้ลวางอยุ่บนโต๊ะ คุณจะคิดว่า แอปเปิ้ล มาจากไหน

a. ตลาดสด

b. supermarket ในห้าง

c. รถขายผลไม้ที่วิ่งขายตามหมู่บ้าน

2. การกินแอปเปิ้ลของคุณตรงกับข้อใดมากที่สุด

a. กินโดยไม่ปอกเปลือก

b. กินโดยใช้ปากกัดแทนการใช้มีดหั่นเป็นชิ้น ๆ

c. กินคำใหญ่ ๆ อย่างเอร็ดอร่อย

3. แอปเปิ้ลให้ผลที่โตเพราะอะไร

a. คุณร้องเพลงให้มันฟังทุกวัน

b. คุณพูดคุยกับมันทุกวัน

c. คุณจูบผลมันทุกวัน

4. ถ้าแอปเปิ้ลพูดได้ เมื่อมันเจอหนอนมานจะพูดอะไรกับหนอน

a. เฮ้! เราเปนเพื่อนกันดีกว่ามั้ย

b. ขอร้องล่ะ เลิกกัดแทะฉันซะที

c. ได้มั้ย อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวเธอทำร้าย

5. แอปเปิ้ลผลนี้เป็นผลที่อร่อยที่สุดในโลก คำแรกที่คุณเคี้ยวคุณจะพูดว่าอะไร

a. โอ้ว! มันอร่อยที่สุดอย่างที่เค้าพูดกันจริง ๆ

b. โอ้ว! มหัศจรรย์จริง ๆ เธอจะลองชิมดูบ้างมั้ย !

c. โอ้ว! มันอร่อยจนฉันคิดว่าจะต้องกินมันทุกวันเลยล่ะ

เฉลย ข้อ 1.

a = คุณมีโอกาสพบเนื้อคู่ที่แต่งงานด้วย ในสถาบันศึกษา หรือ ในสถานที่ทำงาน

b = คุณมีโอกาสพบเนื้อคู่ที่แต่งงานด้วย ตามสถานที่งานเลี้ยงต่าง ๆ

c = คุณมีโอกาสพบเนื้อคู่ที่แต่งงานด้วย จากการเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ

เฉลย ข้อ 2

a = ถ้าคุณมีแฟนครั้งแรก คุณจะไม่มองการแต่งตัวของเขาเท่าไหร่ เขาอาจจะแต่งตัวมอมแมม แต่ก้อยังดูดี ในสายตาคุณ

b = ถ้าคุณมีแฟนครั้งแรก คุณจะทำหั้ยมันเป็นเรื่องสนุกสนาน ท้าทาย และการเรียนรู้ คุณจะไม่ตกในวังวน ของมันเท่าไหร่

c = ถ้าคุณมีแฟนครั้งแรก หากว่าคุณจะตกอยู่ในอาการรักแบบไม่ลืมหูลืมตา มันจะเป็นแค่ระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นคุณก้อจะหลุดจากอาการน่าเป็นห่วง

เฉลย ข้อ 3

a = ความรักของคุณยังต้องการความสนุกสนานทุกวันหยุด คุณไม่อยากอยุ่กับบ้าน แต่คุณอยากออกไปเที่ยวกับเขา

b = ความรักของคุณคือการได้สื่อสารต่อกัน แม้ไม่ได้เจอกัน ก้อขอโทรคุยกับเขาไม่ขาดการติดต่อ ทุกวัน

c = ความรักของคุณยังคงเป็นความรักแบบฉาบฉวย คุณนึกแต่จะสมหวังเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้เตรียม รับมือกับความทุกข์ที่ตามมาด้วย

เฉลย ข้อ 4

a = เมื่อคุณตัดสินใจเลิกกับแฟน คุณยังมีความรู้สึกดี ๆ เหลืออยู่ และพร้อมจะเป็นเพื่อนกับเขา

b = เมื่อคุณตัดสินใจเลิกกับแฟน คุณกลัวว่าเขาจะตามรบกวนคุณไม่ยอมเลิก โดยเฉพาะกลัวเขาจะหาเรื่อง แฟนใหม่ของคุณ

c = เมื่อคุณตัดสินใจเลิกกับแฟน คุณจะเต็มไปด้วยความสับสน โศกเศร้าและหวาดกลัว แต่คุณก้อจะต้อง เข้มแข็ง เพื่อผ่านมันให้ได้นะ

เฉลย ข้อ 5

a = คุณยังมีเพื่อนเป็นอิทธิพลต่อความรักของคุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่คุณจะเชื่อเพื่อนด้วย

b = เมื่อคุณมีคนรัก คุณมักจะแสดงออกให้คนอื่นรับรู้ด้วยว่าคุณมีความสุข แต่เมื่อคุณทุกข์ คุณก้อจะเก็บมันไว้ไม่ให้ใครรู้
c = ถ้าคุณมีคนรัก หรือยอมรับใครก้อตามเป็นคนรัก แล้วคุณจะรุ้สึกดีมาก ๆ ที่ได้รัก และจะใส่ใจ ดูแลแต่เขา

10 สิ่งที่ทำให้คนรักคุณ



10 Things to make people Love You (first)

โลกหมุนได้ด้วยความรัก และพินาศย่อยยับก็ด้วยความชัง...ความรักจะช่วยปะชุนและถักทอส่วนที่ขาดแหว่งให้เต็มครบ ขณะที่ความชังจะคอยยื้อผลาญ ยื้อกระชาก สิ่งที่มีให้ยิ่งขาดออกจากกัน ทั้งโลกหรือชีวิต จึงต้องการความรักเป็นสิ่งเชื่อมประสาน

ชีวิตใครคนใดคนหนึ่ง ::

ความรักจะทำให้เขาอิ่มเต็มในตัวเอง มีความนับถือตนเอง ภาคภูมิใจในตนเอง และความรัก (ตัวเอง) จะชักนำให้เขาทำแต่สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อชีวิต ไม่นำชีวิตให้เขวไปในทางเสียหาย

ชีวิตคู่ ::

ความรักจะทำให้เรารู้จัก "หนักนิดเบาหน่อย" รู้จักแบ่ง รู้จักให้ รู้จักอดใจที่ต้องเผชิญกับสิ่งไม่อยาก

ชีวิตครอบครัว ::

ความรักจะทำให้เยื่อใยของความเป็นพ่อ แม่ ลูกหรือความเป็นพี่เป็นน้องเหนียวแน่น เป็นแกนให้คนซึ่งแตกต่างกันได้ยึดเกาะ และรู้สึกว่าเรามีอะไรบางอย่างร่วมกันอยู่ หรือที่คนทั่วๆ ไปสัมผัสได้ผ่านคำว่า "สายเลือดเดียวกัน"

คนร่วมสังคม ::

ความรักจะทำให้เรารู้จักเห็นอกเห็นใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา และเกิดการร่วมทุกข์ร่วมสุข คำนึงถึงคนส่วนใหญ่และความถูกต้องเป็นสำคัญ ความถูกใจส่วนตัวเอาไว้ทีหลัง จึงเกิดการประนีประนอมและยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย ทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุข

ไม่มีความราบรื่นใดเทียบได้เท่ากับ "การเป็นที่รัก" ของคนอื่นๆ มี 10 สิ่งที่คนอื่นๆ จะรักคุณได้ง่ายขึ้น หากคุณมีและทำในสิ่งเหล่านี้ นั่นคือ

1. รอยยิ้มจากใจของคุณ

เหมือนต้นไม้มีดอกประดับต้น ทั้งคนทั้งผึ้งต่างก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ รอยยิ้มจึงเป็นความสดใส สวยงาม ที่ต้องมีไว้ดุจเครื่องประดับและเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจคน ตลอดจนเป็นเครื่องหมายของความผ่อนคลาย ทำให้คนอื่นสบายใจที่จะได้อยู่ใกล้ๆ โดยที่รอยยิ้มนั้น ต้องผลิดอกออกผลมาจากความสดใสและความจริงใจไม่ใช่แสร้งยิ้ม เพราะคนที่เห็นรอยยิ้มย่อมทราบดีว่าเป็นยิ้มที่มาจากความรู้สึก ยิ้มตามมารยาท หรือฝืนยิ้ม

2. วาจาที่เปี่ยมความสัตย์ของคุณ

ความเป็นคนพูดจริง พูดดี พูดแล้วเชื่อถือได้ พูดไม่ไร้สาระ พูดอย่างไม่เชือดเฉือน เหน็บแนม เป็นอีกสิ่งที่ทำให้คนที่อยู่ด้วยสบายใจ เชื่อใจ ผ่อนคลาย และเปิดเผย ยิ่งอยู่ด้วยนานเท่าไร ก็จะยิ่งเทใจให้มากเท่านั้น

3. สีหน้าที่ไม่ซ่อนอะไรไว้ข้างหลังของคุณ

มีคำกล่าวว่า "รู้หน้าไม่รู้ใจ" เพื่อเตือนให้คนพินิจพิจารณาการคบหากับผู้อื่นให้ถ้วนถี่ บางคนหน้าตาดีแต่ใจทราม หน้ากับใจอาจไม่สัมพันธ์กันในแง่ความงาม แต่ในแง่ของความรู้สึก มันสัมพันธ์กันเสมอ เพราะกล้ามเนื้อบนใบหน้าทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ เป็นไปตามภาวะอารมณ์หรือความรู้สึกจริงๆ ในใจคน ยกเว้นพวกเซียนแห่งการเสแสร้งเท่านั้นที่จะสามารถ "สวมหน้ากาก" คือปรับเปลี่ยนสีหน้าเพื่อซ่อนอารมณ์จริงๆ ไว้ข้างหลัง ซึ่งแน่นอน คนเช่นนี้ไม่มีใครรัก และไม่มีใครอยากคบ จึงต้องฝึกตนไม่เป็นคนชักสีหน้า มีความจริงใจ ผ่าเผย เปิดใจ ไม่หน้าอย่างใจอย่าง

4. ภาษากายที่สะท้อนความในใจของคุณ

บางคนพูดดี สีหน้าปลอดโปร่ง ยิ้มหวาน แต่ซ่อนอาการไว้ที่การ กอดอก ระยะห่างของการยืนคุย มือที่กำเกร็ง ตาที่บอกความเบื่อหน่ายออกมา ฯลฯ พึงระลึกไว้ว่า มือไม้แขนขา สีหน้า ท่าที ล้วนมีความหมายที่ทำให้คนอื่นสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตร ความเป็นคนง่ายๆ ความเป็นคนระวังระไว หรือพวกไว้ตัว

5. อารมณ์อันคงที่ของคุณ

ไม่มีใครรักหรืออยากอยู่ใกล้คนที่อารมณ์แกว่งไกวจนคาดเดาไม่ได้ว่าจะระเบิดปึงปังเมื่อไร หรืออารมณ์ดีตอนไหน วินาทีที่อารมณ์ดีๆ อย่างนี้จะคงที่ไปจนถึงเมื่อไร ไม่มีใครรู้สึกปลอดภัยที่ต้องอยู่กับคนประเภทนี้ หากจำเป็นจะต้องอยู่ด้วย ก็มักจะอยู่ด้วยความกังวล เกร็ง กลัว และขาดความสุข

ฉะนั้น โปรดประคองอารมณ์ของตัวเองให้คงที่ คงเส้นคงวาแน่นอนค่ะ คนเรามีเวลาเดือดดาลหรืออารมณ์เสีย แต่ไม่ใช่เสียทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง และทุกๆ ครั้งคาดเดาไม่ได้ว่าเหตุเกิดจากอะไร หมั่นประคองสติเอาไว้ คอยเตือนตนตั้งแต่อารมณ์เริ่มก่อตัว รู้ทันอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ และคลี่คลายอารมณ์นั้นให้ได้ในที่สุด อย่าเอาอารมณ์เสียๆ ไปกระทบกระแทกคนอื่น แม้ว่าเรื่องที่ทำให้อารมณ์เสียจะเกิดจากคนอื่นก็ตาม หากจะไต่สวนเพื่อพิจารณาความผิดอันเกิดจากการกระทำที่ชวนให้อารมณ์เสีย ก็ให้ไต่สวนโดยไม่มีอารมณ์ (เสียๆ) เข้าไปข้องเกี่ยว อย่างนี้จะทั้งน่ารักและน่านับถือเลยทีเดียว

6. ความรู้ความสามารถของคุณ

คนมีความรู้ความสามารถย่อมเป็นที่พึ่งของคนที่รู้น้อยกว่า หรือหย่อนความสามารถกว่า ซึ่งแปลว่ามีแค่ความรู้ความสามารถไม่พอแต่ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ คอยเอาใจใส่ และให้การช่วยเหลือคนอื่นด้วย

7. น้ำใจไมตรีของคุณ

คนเราอยู่ด้วยกัน ต้องมีน้ำจิตน้ำใจต่อกันบ้าง ไม่มีใครรักคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ น้ำใจไม่ได้แปลว่าต้องมีวัตถุสิ่งของมาแบ่งปันให้ แต่ยังหมายถึงการช่วยเหลือกันในยามฉุกละหุก การห่วงใยเอาใจใส่ คำพูดที่ดี ที่เป็นกำลังใจ หรือแม้แต่ข้อความสั้นๆ ช่วยจำหรือเติมพลังใจให้ เท่านี้ก็ชื่นใจนักหนาแล้ว

8. ความดีงามในตัวคุณ

รู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่น รู้จักแบ่งปัน และเคารพในกันและกัน คือความดีงามขั้นพื้นฐานที่จะนำไปสู่ความดีงามในการอยู่ร่วมกันอีกเป็นร้อยเป็นพันข้อ คนที่มีความดีงามในตนเองย่อมดึงดูดคนดีๆ มาอยู่ด้วย เป็นที่รักและเคารพของคนรอบตัว

9. จิตสาธารณะของคุณ

ไม่ใช่แค่ดีลำพังตน แต่ต้องปรารถนาให้ผู้คนและสังคมได้รับสิ่งดีๆ เพิ่มขึ้นด้วย จึงต้องพร้อมที่จะอุทิศตัวหรือมีส่วนสร้างสังคมที่แข็งแรง ตามกำลังที่ตนจะสนับสนุนได้ ไม่ว่าจะเป็นกำลังทรัพย์ แรง ความรู้คำแนะนำ การมีส่วนร่วม หรือความเอาใจใส่ที่จะแบ่งปันหรือทุ่มเทให้ คนที่มีจิตใจเช่นนี้ ย่อมเป็นที่รักและที่สรรเสริญของทุกๆ คน

10. ความยุติธรรมของคุณ

เราต่างเป็นปุถุชนที่อาจเลือกที่รักมักที่ชังได้ แต่ใครก็ตามที่เอาชนะอารมณ์พื้นฐานข้อนี้ได้ด้วยการให้ความเป็นธรรมแก่ทุกๆ คน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนใกล้ชิด เป็นคนที่ชอบพอหรือไม่ ย่อมได้รับคำชื่นชมและมีคนเคารพรักเป็นอย่างมาก หลายคนเป็นคนดี มีอัธยาศัยไมตรีน่ารัก มีจิตสาธารณะ ทว่าเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ต้องให้ความเป็นธรรมกลับให้ไม่ได้ มีความโน้มเอียงไปข้างใดอย่างไม่สมเหตุสมผล ความรักความนับถือที่เคยได้รับก็หายหมด คุณคงไม่อยากจะเป็นเช่นนั้นใช่ไหมคะ

ความรัก ไม่ได้มีไว้เพื่อให้ใครรอรับฝ่ายเดียว หากในชีวิตของคุณได้พบใครก็ตามที่มีคุณสมบัติดีๆ ทั้งหลายที่กล่าวไว้นี้ คุณก็ต้อง "ให้ความรักเป็น" หมายถึงคุณยอมรับความดีงามของคนอื่นได้ ยินดีชื่นชม และให้ความเคารพอย่างที่เขาควรได้ นี่คือ "ที่สุดของความน่ารัก" คือการรู้จัก "รักคนอื่นด้วย"

อันตรายของชุดชั้นใน แบบโครงลวด



อันตรายของชุดชั้นในแบบโครงลวด (first)

สำหรับสาวเฟิสต์ที่พิสมัยการมีหน้าอกที่เต่งตึงได้รูป และไม่หย่อนคล้อย หลายคนหันหน้าเข้าหาชุดชั้นในแบบที่มีโครงลวด เพื่อปรับทรงหน้าอกให้สวยงามตามต้องการ เราขอเตือนว่า อันตรายจากชุดชั้นในชนิดนี้มิได้มีเพียงแค่อาการเจ็บจากการถูกกดรัดเท่านั้นยังมีอันตรายในแบบอื่นๆ ที่มีผลต่อสุขภาพของคุณโดยตรงอีกด้วย

ดังนั้น...มาดูกันซิว่า เพื่อให้หน้าอกของคุณสวย คุณต้องแลกกับอะไรกันบ้าง

1. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ ทำให้ระบบย่อยอาหารของคุณมีปัญหา เมื่อทานอาหารเข้าไป การบีบรัดที่มีผลทำให้หลอดอาหารตีบก็จะทำให้คุณกลืนอาหารลำบาก และอาหารก็ไม่สามารถย่อยได้ง่ายตามที่มันควรจะเป็น

2. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ ทำให้ร่างกายทำการปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมา ซึ่งส่งผลให้คุณสูญเสียพลังงานอย่างรวดเร็ว จะเหนื่อยง่ายและรู้สึกไม่มีแรง

3. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ ทำให้โครงลวดนั้นขัดขวางการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับสารพิษในเต้านม

4. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของซี่โครงและกระบังลมมีปัญหาส่งผลทำให้คุณหายใจหอบอยู่บ่อยครั้ง และสมรรถภาพของหัวใจกับปอดจะเสื่อมลงอย่างช้าๆ

5. ด้วยการบีบรัดของชุดชั้นในชนิดนี้ทำให้เกิดการขัดขวางการไหลเวียนของเลือดลมภายในร่างกายส่วนบนและส่วนล่าง มีผลให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมีปัญหา

เรียนรู้ที่"รัก"



ความรักเป็นเพียงสายใยบาง ๆ ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งความอาทร ห่วงใย ห่วงหา คิดถึง ความอดทนจะทำให้อุปสรรคต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ความพยายามจะทำให้เราสองคนยังคงอยู่ ความไว้ใจจะทำให้ความรักของเราแข็งแกร่ง ความซื่อสัตย์จะทำให้ความรักของเรามั่นคง ความเสมอต้นเสมอปลายจะทำให้ความรักของเราสวยงาม และสุดท้ายความรักก็จะก่อตัวขึ้นเป็นความผูกพันเมื่อได้เจอความรักที่ดีแล้ว จงทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว อย่าปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว อย่าปล่อยให้เขาเดียวดาย คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เราเคยมีกัน อย่าลืมวันแรก ๆ ที่เรารู้สึกกับคน ๆ นี้ เขาเป็นคนดีที่สุดแล้วสำหรับเรา พยายามรักษาเขาไว้ เพราะเมื่อเขาหลุดลอยไปแล้ว เราจะไม่สามารถเรียกความรู้สึกต่าง ๆ กลับมาได้อีกเหมือนเวลาที่ไม่สามารถย้อนเดินกลับทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะอดีตแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วอย่าทิ้งหัวใจของคุณไว้กับอดีต อย่าคิดว่าอดีตไม่มีวันหวนคืนอย่าคิดว่าไม่มีพรุ่งนี้ อย่าลืมบทเรียนของเมื่อวานทุกชีวิตยังมีความหวังอยู่เสมอ จงปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไป.. วันหนึ่งถ้าชีวิตหวนคืนมาสู่ทางสายเก่า.. ที่เคยทำให้คุณมีความสุขระหว่างเดินทางในแต่ละก้าว...จงอย่าเดินเลี่ยงมันไปอีก เพราะน้อยนักที่...ถนนสายเดิมยังคงสภาพเดิมเพื่อรอให้คุณเดินย้อนกลับมา..ลองเดินต่อไปสิ..บางทีคุณอาจจะเจอจุดหมายที่คุณค้นหามาตลอดชีวิตในเส้นทางที่คุณเคยเดินเลี่ยงมันไปก็ได้...

คนแบบไหน ที่ต้องการวิตามินซี



คนแบบไหน ที่ต้องการวิตามินซี

ทราบหรือไม่ว่า คนแบบไหนที่ต้องเพิ่มวิตามินซีให้ตัวเองด่วน! วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาฝาก.. วิตามินซี เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอีกชนิดหนึ่ง ที่ช่วยปกป้องเซลล์และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังช่วยเยียวยาร่างกายจากการบาดเจ็บ ช่วยให้ร่างกายต่อต้านการอักเสบ และ ป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

โดยทั่วไปแล้ววิตามินซีพบได้ในอาหารจำพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ส้มสุกลูกไม้ต่างๆ ยิ่งในยุคสมัยใหม่อย่างนี้ก็มีผู้ผลิตนำมาอัดเม็ด เป็นอาหารเสริมจำหน่ายกันมากมายในปริมาณต่างๆ กันไป

นอกจากที่ว่าคนทั่วไปต้องการวิตามินซีแล้ว คนบางกลุ่มที่สุขภาพไม่ค่อยดี หรือมีความจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมวิตามินซีเพิ่มขึ้นมากกว่าคนทั่วไปก็มีเช่นกัน

กลุ่มคนที่สูบบุหรี่

กลุ่มคนที่เตรียมตัวผ่าตัด หรือเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด

ผู้ป่วยที่มีไตเทียม

คนที่อยู่ในสถานที่อากาศเย็นเป็นเวลานาน

ใครที่อยู่ในข่ายเหล่านี้ ก็อย่าลืมหาอาหารที่มีวิตามินซี เป็นส่วนประกอบมาทานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดี

มาทำลูกชุบ กินกันดีกว่า



มาทำลูกชุบ กินกันดีกว่า

ทิ้งทวนเดือนแห่งความรัก ด้วยขนมไทยหวานๆ อย่าง "ลูกชุบ" ขนมที่มีรูปร่างและสีสันที่หลากหลาย แปลกตา แต่จะเป็นรูปร่างใด ต้องตามใจผู้ปั้น ซึ่งจะมีขั้นตอนการทำอย่างไรนั้น "จานโปรด" มีวิธิการทำมาฝาก

ส่วนผสม

1. ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1/2 กก.

2. หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง

3. น้ำตาลทราย 1/2 กก.

4. วุ้นผง 5 ช้อนโต๊ะ

5. น้ำ 5 ถ้วยตวง

วัสดุที่ต้องใช้

1. กระทะทองเหลือง

2. ไม้พาย

3. ไม้เสียบลูกชิ้น หรือไม้จิ้มฟัน

4. สีผสมอาหาร

5. จานสี

6. พู่กัน

ลงมือเข้าครัว

1. เริ่มจากการล้างถั่วที่เลือกเอาเมล็ดเสียออกแล้วด้วยน้ำสะอาด 1 ครั้ง เทน้ำทิ้ง แช่ด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งประมาณ 3-4 ชั่วโมง เทน้ำทิ้งแล้วล้างอีกครั้ง

2. นำถั่วที่ล้างสะอาดแล้วไปนึ่งให้สุก จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด

3. นำน้ำตาลและกะทิมาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมเข้ากันดี ในขั้นตอนนี้ควรคนตลอดเวลาเพื่อไม่ให้กะทิเป็นลูก

4. นำถั่วที่บดจนละเอียดแล้วใส่ลงในกระทะทองเหลือง ตั้งไฟปานกลาง ค่อยๆทยอยใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวได้ที่แล้วลงไปทีละน้อย เทไปกวนไปจนหมด ที่สำคัญต้องกวนไปในทางเดียวกัน จนถั่วเริ่มแห้ง ให้หรี่ไฟลง รอจนถั่วเริ่มแห้งและร่อนออกจากกระทะ จึงนำออกมานวดจนเนียน

5. ขั้นตอนต่อไปก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการปั้นของแต่ละคน เมื่อปั้นได้รูปแล้ว ก็นำมาเสียบกับไม้จิ้มฟัน หรือไม้เสียบลูกชิ้น ระบายสีตามชอบ

6. ระบายสีเสร็จแล้ว ก็นำไม้ไปเสียบไว้ที่โฟม รอจนสีแห้ง

7. หันมาทำน้ำวุ้นกันบ้าง เริ่มจากนำวุ้นผงและน้ำใส่หม้อคนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง หมั่นคนจนวุ้นใส ยกลงทิ้งไว้สักครู่จะมีฟองลอยขึ้นมา ให้ใช้ช้อนตักฟองทิ้ง

8. นำถั่วที่ลงสีแล้วชุบกับวุ้น 1 ครั้ง ปักบนโฟม รอให้แห้ง แล้วจึงชุบครั้งที่ 2 และ 3 เมื่อวุ้นแข็งตัวดีแล้วจึงถอดออกจากไม้จิ้ม ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ไม่ต้องการทิ้ง แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

แม้จะดูว่ามีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก แต่หากช่วยกันทำหลายๆ คนแล้ว คงเป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับครอบครัวแน่นอน...