วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ประโยชน์ของการหัวเราะ



วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีประโยชน์จากการหัวเราะมาบอก...


1.ความดันโลหิตลดลง


2.ฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดลดลง ขณะเดียวกันการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ก็เป็นปกติ


3.กระตุ้นระบบภูมิชีวิต (Immune system) ทำให้ T-celll ซึ่งเป็นทหารประจำตัว คอยกำจัดเชื้อโรคเพิ่มจำนวนขึ้น รวมถึงแอนตี้บอดี้อื่นๆ ในร่างกายด้วย


4.คลายความเจ็บปวด อารมณ์ขันทำให้ผู้ป่วยลืมความเจ็บปวด และยังกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนระงับปวดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว


5.กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ขณะที่หัวเราะ กล้ามเนื้ออื่นๆ ที่ไม่ได้สัมพันธ์กับการหัวเราะ จะผ่อนคลาย และเมื่อหยุดหัวเราะ กล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการหัวเราะ ก็จะผ่อนคลาย เป็นการทำงานสองขั้นตอน


6.หายใจดีขึ้น การหัวเราะบ่อยๆ ทำให้ปอดโล่ง หายใจได้ลึกขึ้นดีมากๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการหายใจ


รู้อย่างนี้แล้ว หันมาผ่อนคลายจิตใจ หัวเราะให้บ่อยขึ้น แต่อย่ามากกว่าปกติ เดี๋ยวคนรอบข้างจะหาว่า...
ไม่รู้ตัว

5 เคล็ดลับ กินผักผลไม้ให้มากขึ้น



ผัก ผลไม้คือสุดยอดอาหารสุขภาพ เชื่อไหมคะว่า พืชชนิดเดียวอาจประกอบด้วยสารอาหารที่เรียกว่าพฤกษเคมีหรือไฟโตเคมิคัล (phytochemical) หลายร้อยชนิดที่ช่วยเราต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่จะทำให้รับประทานผักผลไม้ได้มากขึ้นค่ะ

1.กินผลไม้หลังอาหารมื้อเช้าทุกวัน ฝึกรับประทานผลไม้หลังอาหารมือเช้าให้เป็นนิสัย เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากสารอาหารแล้ว ยังช่วยเติมความสดชื่นสดใสได้ตลอดวันค่ะ

2.พยายามกินผักเพิ่มเป็น 2 เท่าทุกมื้อ แล้วลดอาหารประเภทแป้งหรือไขมันลง เมื่อทำ จนเป็นนิสัยก็สามารถกินผักได้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ

3.ใส่ผักผลไม้ลงไปในส่วนผสมหนึ่งของอาหาร อาหารหลายชนิดสามารถใส่ผักหรือ ผลไม้หลายอย่าง ลองดัดแปลงทำดู ก็จะได้อาหารจานอร่อยที่มีคุณค่าอาหารสูง

4.ลองผักผลไม้ใหม่ๆ ลองรับประทานผักและผลไม้ชนิดใหม่ที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน รสชาติที่แปลกใหม่จะช่วยให้อยากรับประทานและมีตัวเลือกมากขึ้น

5.กินสแน็คผลไม้ สแน็คผัก ผลไม้ ไทยๆ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราได้รับคุณค่าจากผัก ผลไม้มากขึ้น ที่สำคัญ ไม่ทำให้อ้วนด้วยนะคะ

12 เคล็ดลับง่ายๆ เพื่อหน้าใสไร้ริ้วรอย





1. ไม่ควรนอนดึกหรืออดนอน แม้ก่อนหน้านี้จะเคยใช้เวลาช่วงกลางคืนหมดไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือจะทำงานก็ตาม แต่ถ้าอยากหน้าใสไร้ริ้วรอย เมื่อถึงเวลาหัวค่ำแล้วก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลาซะ หยุดกิจกรรมที่เคยชินเสียเดี๋ยวนี้ ร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่


2. ควรดื่มน้ำในปริมาณอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ซึ่งน้ำในที่นี้ไม่นับพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม แต่ต้องเป็นน้ำเปล่าที่สะอาด ไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป เพราะเมื่อเราดื่มน้ำอย่างเพียงพอแล้ว ปัญหาผิวแห้งหรือผิวเป็นขุยจะหมดไป แถมทำให้ดวงตาดูสดใส ผิวอวบอิ่มไร้ริ้วรอยอีกด้วย


3. ไม่ลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆ แค่ขยับปากพูดคำว่า "อา อี เอ โอ อู" แค่นี้กล้ามเนื้อหน้าก็จะได้รับการดูแลไม่ให้เหี่ยวย่น


4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด และเครื่องดื่มจำพวกน้ำชา กาแฟ ไม่อย่างนั้นริ้วรอยจะมาเคาะประตูถามหาอย่างแน่นอน อีกทั้งต้องงดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่คือตัวอันตรายที่จะทำให้หน้าของคุณดูแก่เกินอายุ


5. หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ก่อนวัยโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดด ก็อย่าลืมใช้ครีมกันแดด SPF สูงๆ ทาป้องกันก่อนเดินทางออกจากบ้าน


6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ง่าย เช่น ในห้องแอร์ฯ ที่หนาวจัด ถ้าอยู่นานๆ ความเย็นที่ติดลบก็จะทำลายผิวหน้าของคุณ


7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ ยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้ว คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะ แคะ บีบ เกา บริเวณที่เป็นสิวอย่างเด็ดขาด สำหรับคนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะเป็นหลุมเป็นบ่อคล้ายกับดวงจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ ดังนั้นไม่ควรไปยุ่งกับสิวเลย นอกจากการแต้มยาลดการอักเสบ การบวม เท่านั้น ที่เหลือใช้การรักษาความสะอาดเข้าช่วยเป็นพอ


8. ความเครียดก็เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้หน้าคุณหมองคล้ำ ความเครียดเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องงาน เงิน ครอบครัว หรือความรัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นมารบกวนจิตใจคุณ ก็จงอย่าเครียด ค่อยๆ แก้ไขอย่างมีสติ และพยายามสงบใจไม่ให้เป็นทุกข์ อีกกรณีของความเครียด ก็เกิดมาจากการที่คุณมีสิวขึ้นบนใบหน้า ยิ่งเครียดยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นยิ่งเครียด สุดท้ายแล้วหน้าตาคุณก็จะทั้งหมองทั้งแก่ เพราะสิวแค่เม็ดเดียวเท่านั้น


9. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ก็ควรต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษ ควรที่จะใช้โลชั่นที่มี AHA ทาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ก็แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม


10. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน และคุณควรจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงาน หรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆ มาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นใบหน้าได้


11. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยให้คุณล้างมาสคาราหรืออายแชโดว์ ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคายเคืองผิว ซึ่งอาจนำไปสู่การกำเนิดสิว


12. หากคุณมีปัญหาเรื่องผิวหน้าไม่เรียบ หมองคล้ำ เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นสิว เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับผิวหน้า ควรจะไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน

7 เคล็ดลับรักษาเท้า ให้น่าคลั่งไคล้



เท้า เป็นอวัยวะสำคัญหนึ่งที่หลายคนมักละเลย ไม่ใส่ใจดูแลเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ ทุกวันเราก็ใช้ประโยชน์จากมันมากมายเหลือเกิน ดังนั้นวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการดูแลรักษาเท้ามาฝากกันค่ะ

1.จะเข้าใจว่าศัตรูของเท้าไม่ใช่ความแห้งแต่เป็นกลิ่น ดังนั้นไม่ควรหมักหมมเท้าไว้ในรองเท้าให้นานเกินไป ควรหาเวลาถอดเพื่อระบายเหงื่อ หรือใช้สเปรย์แป้งเพิ่มความสดชื่นให้แก่เท้าอยู่เสมอ

2.เวลาล้างเท้าควรล้างอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะบริเวณแต่ละง่ามนิ้วเท้า ควรใช้สบู่เด็กหรือผลิตภัณฑ์รักษาความสะอาดโดยเฉพาะ เพราะบริเวณนั้นเป็นแหล่งรวมของเชื้อราเลยทีเดียว จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดจด

3.ควรประณีตกับการล้างเท้าสักหน่อย โดยการใช้ "หินลอย" (Pumice Stone) มาขัดหนังที่แข็งกระด้างออก และไม่ลืมที่จะใช้เวลาในการเช็ดเท้าให้แห้งสนิทมากที่สุดด้วย

4.แล้วเมื่อเท้ามีอาการปวดเมื่อยจากการเดินหรือวิ่งก็ตาม ง่ายๆ เลยเพื่อระงับความปวดเมื่อยคือการนำเท้าไปแช่น้ำอุ่น (ผสมเกลือ) สัก 10-15 นาที แล้วยกออก ตามด้วยการจุ่มน้ำเย็นสัก 1-2 นาที ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และยังทำให้ผิวเท้านุ่มขึ้นอีกด้วย

5.เมื่อมีเวลาว่างเมื่อใดก็ควรนำเท้าไปนวดครีมหรือนวดน้ำมัน เพื่อรักษาผิวให้มีความชุ่มขึ้นอยู่เสมอ 6.ไม่ควรใส่รองเท้าที่คับจนเกินไป เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดแล้ว ยังทำให้เกิดแผลและตาปลาอีกด้วย

7.ไม่ควรทำเล็บที่ร้านเสริมสวยหรือใช้เครื่องมือของทางร้าน เพื่อป้องกันความสกปรกหรือโรคผิวหนังที่จะติดมากับเครื่องมือเหล่านั้น (ทำด้วยตัวเองดีที่สุด)

10 ข้อคิด เพิ่มคุณค่าให้ชีวิต



วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มี 10 ข้อคิดดีๆ ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตมาฝากกัน...

1. จริงอยู่ ที่มิตรภาพความเป็นเพื่อนนั้นไม่มีวันหมด แต่คุณอาจลืมไปว่ามันเปลี่ยนแปลงได้

2. เมื่อคุณตระหนักว่า ไม่มีใครช่วยคุณ ในเวลาที่คุณมีความทุกข์ ไม่มีใครดีใจอย่างจริงใจกับคุณ ยามเมื่อคุณมีความสุข เมื่อนั้นคุณเรียนรู้ที่จะหาเพื่อนแท้ให้กับชีวิตคุณได้แล้ว

3. อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ปล่อยความเจ็บปวดความทรมานที่ได้ประสบ ผ่านไปกับอดีตด้วย

4. อย่าละเลยและเพิกเฉยต่อคนที่คุณชอบพอ เพราะมัวคิดว่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตคนเราแสนสั้น จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้

5. คุณไม่ได้ตายจากความเจ็บปวดในชีวิตที่ผ่านมา แต่มันทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น

6. อย่าให้ชีวิตขึ้นกับคนอื่น เพื่อทำให้คุณมีความสุข

7. ชีวิตแต่งงานและครอบครัว เป็นเรื่องที่สำคัญ จงอย่ารีบร้อนในการตัดสินใจ

8. แสดงความชื่นชมกับคนที่คุณรักและห่วงใย ในทุกๆ วัน ไม่ใช่แค่วันหยุดหรือวันเกิด

9. ผู้คนผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยโอกาส ซึ่งนำพาทั้งความสุขและบทเรียนมาให้คุณ

10. เมื่อใดก็ตามที่ผิดหวัง จงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำข้อคิดดีๆ นี้ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันกันได้

เคล็ดลับในการเพิ่มความจำ

เคล็ดลับในการสร้างพลังความจำ

ความสามารถในการจำของมนุษย์มีความพิเศษเหนือสัตว์อื่นๆ ความจำ เป็นสิ่งวิเศษที่เราสามารถเรียกคืน ประสบการณ์เก่าๆ กลับมาอีกครั้ง หากไม่มีความจำ เราคงลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต และเราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่เหมือนเด็กอ่อนที่เพิ่งเกิดทุกวัน คล้าย ๆ กับคนแก่ที่ความจำเลอะเลือนกลับกลายเป็นเหมือนเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะความจดจำได้ เราจึงเรียนรู้ได้ โดยเอาสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตมาวิเคราะห์และปรับปรุง เราสามารถเรียกคืนความจำเก่าๆจากจิตใต้สำนึกเมื่อเราต้องการ และจากความรู้อันนี้ทำให้เรา สามารถทำงานบางอย่างที่เราได้เรียนมาอย่างช่ำชอง หรือหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีได้

จิตใต้สำนึกของเราบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะทุกวันที่เราตื่นนอน เราจำได้ว่าเมื่อคืนเรานอนหลับดีหรือไม่ ความจำเป็นสิ่งไม่ตาย แต่สถิตถาวรภายใต้จิตสำนึก หากเรามีการฝึกฝนที่ดี เราสามารถเรียกความจำเก่าๆ ในชีวิตปัจจุบัน และแม้แต่ในอดีตชาติก่อนๆ กลับมาได้

ความจำของเราถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือความจำชั่วคราว และความจำถาวร ความจำชั่วคราวของเรา จำได้ไกลเพียงแค่ในชีวิตปัจจุบัน ส่วนความจำถาวรบันทึกทุกสิ่งที่เกิดกับจิตวิญญานของเราในทุกภพทุกชาติ บางคนสามารถจำได้แค่เหตุการณ์ในชีวิตนี้ แต่บางคนจำได้ทั้งไกลถึงอดีตชาติ แต่บางคนจำไม่ได้แม้เหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่วัน คุณภาพของการจำ แตกต่างกันไป แล้วแต่คุณภาพของสมองแต่ละคน การศึกษา การฝึกสมาธิ และการฝึกฝนความจำในแบบต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการจำได้ ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ต้องเป็นคนที่มีความจำที่ดี

การบริหารร่างกายเพิ่มความจำท่าการบริหารร่างกายที่เหมาะสม เช่นการฝึกโยคะ การรำมวยจีน การเดินจงกรม สามารถพัฒนาความจำได้ ในปัจจุบันเครื่องจักรเข้าทดแทนทุกส่วนของการใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน ทำให้คนเราเกิดความเกียจคร้านในการการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้บางคนคิดค้นหาอุปกรณ์ออกกำลังภายในบ้านขึ้น เพื่อการบริหารร่างกาย แต่เราควรให้มีสติกำกับการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่ก้มงอตัวไปมา เพราะการที่มีสติและสมาธิในการเคลื่อนไหวในทุกอริยาบท ทำให้เราสามารถควบคุมและส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆของอวัยวะในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น เช่นเดียวกับการฝึกกังฟูของจีน

อาหารที่เพิ่มพลังความจำอาหารบางชนิดบำรุงสมอง บางชนิดบำรุงกล้ามเนื้อ บางชนิดบำรุงประสาท และแต่ละชนิดบำรุงแต่ละส่วนของอวัยวะ หากเราต้องการเพิ่มพลังสมอง เราก็ต้องทานอาหารที่บำรุงสมอง โดยเฉพาะโปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงสมอง เมล็ดอัลมอลด์นำมาบดผสมกับน้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม และดื่มก่อนนอนทุกคืนจะช่วยให้ความจำดีขึ้น การดื่มนม และกินเนยแข็ง (Cheese) จึงเพิ่มพลังสมอง

เมื่อใดคุณมีความกังวล อ่อนล้า ลองดื่มน้ำมะนาวสัก 1-2 แก้ว เอาน้ำเย็นลูบหัว แล้วนำมาแตะกระหม่อม คิ้ว จมูก และหู จะทำให้เส้นประสาทสงบลง และทำให้ความจำดีขึ้นทันที หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะมันจะไปตกตะกอนเป็นคอเลสเตอร์รอล ตามผนังเส้นเลือดแดง ผู้ถือศีลสมาธิบางท่านที่เคร่งครัดมักจะกินแต่อาหารมังสวิรัติ เพราะเชื่อว่าเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อหมูและเนื้อวัว ทำลายสุขภาพ เพราะมีกรดยูริคสูง ทั้งหมูและวัวมีความจำที่ต่ำ เมื่อเรากินเนื้อของสัตว์เหล่านี้มันจะนำไปสร้างร่างกายและจิตของเราตามลักษณะของสัตว์เหล่านี้ด้วย

การฝึกบริหารความจำความจำที่ดีเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน คนที่มีร่างกายที่ไม่แข็งแรงก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ชีวิตเราไม่ว่าด้านใดๆก็สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ถ้าเรามีความพยายาม แม้ความผิดปรกติของร่างกายทางกรรมพันธุ์ก็มีการพิสูจน์กันแล้วว่าสามารถแก้ได้ด้วยการฝึกสมาธิ

คนส่วนมากไม่รู้จักการฝึกสมาธิ ทำให้ความสามารถของสมองที่แฝงเร้นอยู่ ไม่ถูกนำมาใช้ และหากเราขาดการพัฒนาทางจิตหรือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ นานเข้าก็นำไปสู่ความเสียหายทางสมองและจิตได้ เพราะสมองเหมือนเช่นส่วนอื่นของร่างกาย ต้องการออกกำลัง บริหารอยู่เสมอ เพื่อคงให้อยู่ในสภาพที่ดี

การพัฒนาความจำไม่เพียงแต่เราต้องกินอาหารที่บำรุงสุขภาพแล้ว เรายังต้องฝึกจิต พยายามใช้ความจำ ฝึกการจำ เช่นมองภาพใดภาพหนึ่ง อาจเป็นภาพพุทธรูป หรือแม้แต่จะเป็นภาพวิวธรรมดาก็ได้ แล้วลองหลับตานึกภาพนั้นในใจ พยายามนึกถึงเพลงหรือบทสวดมนต์ แล้วร้องในใจ หรือสวดในใจเพื่อพัฒนาความจำ สิ่งที่ทำด้วยอารมณ์ ก็สามารถพัฒนาจิตใจ เพราะทุกคนจำเหตุการณ์ในชีวิตตอนที่ดีใจที่สุด และเสียใจที่สุดได้เสมอ เนื่องจากความรู้สึกตั้งอยู่ในส่วนลึกของความจำ ฉะนั้น การแต่งโคลงกลอน หรือแม้แต่การฝึกบวกเลข ลบเลขในใจ ก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับพัฒนาความจำ และส่งเสริมสมาธิ

การฝึกสมาธิเสริมสร้างความจำการเพิ่มพลังความจำ เราต้องทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจมั่น คนส่วนมากทำทุกอย่างแบบไร้สติ การกระทำและความคิดจึงมีช่องว่างที่ไม่เชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเหตุให้คนส่วนมากจำอะไรได้ไม่ได้ดี เราควรทำกิจการงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ทำงานก็ทำด้วยความตั้งใจ เรียนก็ฟังครูสอนด้วยความตั้งใจ จะเล่นกีฬาก็เล่นด้วยความตั้งใจ เมื่อฝึกสมาธิก็ไม่ทิ้งคำบริกรรม

สมาธิคือการตั้งใจมั่น มั่นในการกิน เดิน นอน นั่ง คด คู้ เหยียด ทุกอริยาบท ความจำได้หมายรู้มีไว้ให้เราระลึกถึงความดีที่เราเคยก่อ ที่เราเคยสร้าง การฟื้นความจำที่เราเคยเกลียดใคร โกรธใคร อาฆาตใคร เป็นการใช้ความจำในทางที่ไม่ถูกต้อง และยัง ก่อให้เกิดโทษ ตรงกันข้ามเราควรฟื้นความจำ ในแต่สิ่งที่ดี แต่บางครั้งการจำเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ที่เราเคยทำผิดพลาดไป แล้วนำประสบการณ์นั้นมาปรับปรุงแก้ไข ย่อมเป็นการใช้ความจำในทางที่ถูกต้อง แต่อย่าจมปรักอยู่ความความผิดหวังในในอดีตซึ่งทำให้เราไม่ก้าวหน้า ไม่ควรฟื้นความจำที่ไม่ดีเหล่านั้นจะดีทีสุด หากนึกขึ้นได้เราเพียงแต่หยุดคิดถึงมัน จงฝึกคิดแต่สิ่งที่ดี และคุณความดีที่เราทำ เพราะความจำสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เป็นพลังงานสุดท้ายที่ขับเคลื่อนเราไปสู่ภพใหม่ และการระลึกได้ในความดีที่เราทำในขณะนั้นเท่านั้น จึงจะนำเราไปสู่สุขคติภูมิ

แต่งกายให้ปลอดโรค



เชื่อไหมคะว่าการแต่งกายอาจจะมิใช่เพียงเพื่อความอบอุ่น สวยงามอีกต่อไป เมื่อพบว่าอาการเจ็บป่วยบางอย่างเกิดจากการแต่งกายไม่เหมาะสมนี่เองค่ะ มาลองสำรวจกันดูว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ป่วยเพราะเครื่องแต่งกายหรือเปล่า


เริ่มจากชุดชั้นในผ้าลูกไม้และไนล่อน ซึ่งเป็นผ้าที่ระบายได้ยอดแย่ กางเกงในไนล่อนทำให้ปากช่องคลอดอับชื้น และเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อรา จึงขอแนะนำว่า


1. ใช้กางเกงในผ้าฝ้าย ซึ่งมีผลพิสูจน์แล้วว่าเหมาะกับการสวมใส่เป็นชุดชั้นในเป็นที่สุด เนื่องจากซึมซับเหงื่อและระบายอากาศได้ดี

2. ถ้าชุดชั้นในขึ้นรา ให้นำไปซักในน้ำอุ่นจัดๆ เพื่อฆ่าเชื้อ และควรตากชุดชั้นในในที่โล่งแจ้งแทนในห้องน้ำที่มีความอับชื้นสูง

3. เลิกสวมชุดชั้นในนอน เพื่อความปลอดโปร่งโล่งสบาย


ถัดจากกางเกงในก็มาถึงเสื้อชั้นในสายเล็กๆ ที่มีขนาดทรงและขนาดสายไม่เหมาะสมกัน ทำให้เกิดอาการปวดหลัง โดยเฉพาะสาวทรงโตที่ชอบสวมบราสายเล็ก จะทำให้กล้ามเนื้อไหล่เสียศูนย์ ถึงขั้นทำให้กล้ามเนื้อแขนชา ฉะนั้นนอกจากเลือกขนาดให้พอดีแล้ว สาวๆ ควรจะ


1. เลือกบราที่มีเนื้อผ้ายืดหยุ่น เพราะสามารถอุ้มน้ำหนักของอกได้ดี จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องอกหย่อนคล้อยตามมา

2. เปลี่ยนบราสายเล็กเป็นบราแถบกว้างแทน เพื่อช่วยในการรับน้ำหนักเต้าทรงที่ดีกว่า แล้วปรับระดับสูงต่ำ

ให้พอดี อย่าให้ตึงแน่นเกินไป


จากชุดชั้นในก็มาถึงชุดชั้นนอก ชุดรัดติ้วรัดรูปแนบเนื้ออาจจะทำให้ดูเซ็กซี่ก็จริงอยู่ แต่ส่วนใหญ่ชุดพวกนี้มักจะระบายอากาศได้ไม่ดี ทำให้ผิวผู้สวมใส่เกิดเม็ดผดผื่นคัน ระคายเคือง ซ้ำยังทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดอีกด้วย


ต่อด้วยเรื่องของรองเท้า เลิกเถอะค่ะกับรองเท้าคุณภาพต่ำ การตัดเย็บและการระบายอากาศไม่ดี เพราะนอกจากจะใส่ไม่สบายแล้ว ยังทำให้หนังเท้าคุณด้าน เป็นแผลพุพอง เล็บขบ ปวดข้อเท้าและนิ้วเท้า ทางที่ดีคุณควรจะ


1. เลือกรองเท้าที่ปกปิดส่วนหน้าและส้นเท้ามากๆ เพราะรองเท้าแบบนี้จะช่วยให้เคลื่อนไหวได้มั่นคง

2. ควรเลือกซื้อรองเท้าในตอนบ่าย เพราะเท้าจะขยายเต็มที่การวัดขนาดรองเท้าจะได้ไม่ผิดเพี้ยน ทำให้ได้รองเท้าที่ใส่ได้สบาย


มาถึงทรงผมสำหรับสาวที่ชอบรวบผมตึงเปรี๊ยะ โปรดจงรู้ไว้ว่า หากทำเช่นนี้เป็นประจำจะทำให้เกิดความเครียดต่อศีรษะ และมีอาการปวดศีรษะได้ค่ะ ลองเปลี่ยนการตบแต่งทรงผมใหม่ดังนี้ค่ะ


1. ใช้แถบผ้าแทนยางรัดผม เพื่อไม่ให้ผมถูกดึงแน่นเกินไป

2. ควรรวบผมม้าหลวมๆ ไว้ที่ต้นคอ แทนการรวบตึงไว้กลางศีรษะ

3. เปลี่ยนเป็นถักเปียหลวมๆ บ้าง เพื่อหนังศีรษะจะไม่ถูกดึงรั้งมากเกินไป


สุดท้ายอยากบอกว่าเลิกเถอะค่ะที่จะเป็นบ้าหอบฟาง สะพายกระเป๋าใบยักษ์ใส่สัมภาระมากมายก่ายกอง ไม่เช่นนั้นอาการปวดหลัง ปวดไหล่จะมาเยือนได้โดยง่ายนะคะ ทางที่ดีขอแนะนำให้


1.ลดปริมาณของที่พกพา ให้เหลือแต่สิ่งที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น

2. เลือกกระเป๋าผ้าเนื้อเบา แทนกระเป๋าหนังที่เฉพาะตัวกระเป๋าก็หนักเป็นกิโลๆ

3. สายกระเป๋าแบบสั้นดีกว่ายาว เพราะการแกว่งไปมาจะรบกวนกล้ามเนื้อคอและหลัง

4. สายกว้างๆ ช่วยรับน้ำหนักได้ดีกว่าสายแบบเล็ก และสายโซ่


เพียงเท่านี้เราก็จะเป็นสาวมั่น แต่งกายดี โดยที่ไม่เบียดเบียนสุขภาพตัวเองแล้วค่ะ

8 เคล็ดลับ นั่งแล้วไม่ปวดหลัง



หนุ่มๆ สาวๆ ที่นั่งทำงานในออฟฟิศมักมีอาการปวดหลังเป็นประจำ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการนั่งผิดสุขลักษณะโดยเฉพาะการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ข้อแนะนำก็คือ


1. นั่งตัวตรงสบายๆ อย่างเกร็ง ปล่อยต้นแขนให้สบายๆ


2. งอแขนให้แขนท่อนล่างอยู่ในแนวราบกับแป้นกด (ให้เก้าอี้อยู่ในระดับพอดี)


3. งอขาเล็กน้อยและให้ฝ่าเท้าราบกับพื้น


4. นั่งให้เต็มเก้าอี้และเอนหลังไปน้อยๆ เพื่อให้หลังพิงพนัก


5. เมื่อพิงพนักได้สบายๆ แล้วก็ลงน้ำหนักตัวกับที่นั่ง


6. ให้สายตาอยู่ห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 45-60 ชม. ที่ดีที่สุดคือเอียงจากบนลงหน้าจอเล็กน้อย


7. เปลี่ยนท่านั่งเป็นครั้งคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการนั่งในท่าเดียวตลอด


8. อย่างน้อยที่สุด ทุก 2 ชั่วโมงให้ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ยืดแขน และสั่นข้อมือ

7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง


การเป็นคนเก่ง ไม่ใช่ความโชคดีของพันธุกรรมอยู่ที่การฝีกขัดเกลาสมองและหัวใจของคุณ แล้วคุณจะมีความปราดเปรื่องในแบบฉบับของคุณ เป็นคนเก่งที่สามารถจัดการกับชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว

1. คิดในทางบวก
มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง ด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่น มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์จะช่วยให้คุณสามารถที่จะจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างอยู่มือ

2. มีศรัทธาในตัวเอง
อยากให้ใครๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน

3. ขอท้าคว้าฝัน
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริง และทุ่มสุดตัว ความกระหายอันแรงกล้า ที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย เป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้

4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใครก็ได้ที่คุณชื่นชม เพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตามแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา มาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวโลดสู่ความสำเร็จ

5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส
คนที่มีรอยยิ้ม ระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้างให้ใครๆ อยากเข้ามาคบหาด้วยการเจรจาติดต่องาน ก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ สร้างความเบิกบาน และคลายทุกข์เป็นยาอายุวัฒนะ

6. เรียนรู้จากความผิดพลาด
สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้งจะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริงหันมาทบทวน ดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป...เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

7.ทะนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
คงไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุขโดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะแม้ว่าชีวิตของคุณในแต่ละวันจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ที่รู้จักมักจี่กันมานานซะบ้าง แวะไปหากัน เมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด ส่งการ์ดปีใหม่ หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้ เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา เศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนซี้ไว้ พึ่งพาและให้กำลังใจกันได้นะ

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ในสมัยเด็กๆ หลายคนอาจจะต้องท่องจำว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่ออะไร ใครเป็นผู้แต่งเพลงสรรเสริญพระบารมี ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนก็ยังจำได้อยู่ แต่หลายคนก็อาจจะลืมเลือน ดังนั้น เพื่อเป็นการทบทวนความจำ ทั้งความรู้เก่าและเกร็ดความรู้ใหม่ ที่บางคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับประเทศไทย กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำสาระบางส่วนจากหนังสือ “ความรู้รอบตัว รอบรู้เรื่องเมืองไทย” ของฝ่ายวิชาการชมรมเด็ก ซึ่งจัดพิมพ์โดยสุวีริยาสาส์น มาเพื่อเสนอดังต่อไปนี้

แบบเรียนเล่มแรกของไทย
แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ “จินดามณี” แต่งโดย พระมหาราชครู กวีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี พ.ศ. 2199 - 2231)

ถนนสายแรกในเมืองไทย
ถนนสายแรกในเมืองไทย คือ ถนนเจริญกรุง (New Road) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2404 โดยต่อมาได้มีการตัดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร รวมทั้งถนนพระราม 4 และถนนสีลมในเขตชานพระนคร




น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก
น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2410 สันนิษฐานว่า ผลิตที่สิงคโปร์แล้วส่งมาถวาย โดยใส่หีบกลบขี้เลื่อย คนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้น ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”

พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประพาสต่างประเทศ
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จประพาสต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2413 และเสด็จชวาด้วย


ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี
ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ โดยมีนายปโยตร์ ซูโรฟสกี้ (Pyotr Shchurovsky) ชาวรัสเซีย แต่งทำนองเพลงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2431

ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย
ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พิมพ์ออกใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2445 โดยก่อนหน้านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการผลิตธนบัตร หรือเงินกระดาษออกใช้เป็นครั้งแรก ในเมืองไทยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2396 แต่เรียกว่า “หมาย” ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาวรูปสี่เหลี่ยม พิมพ์ลวดลายด้วยหมึกทั้งสองด้าน และประทับตรา พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ตราจักร และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลสีแดงชาด (ลัญจกร อ่านว่า ลัน-จะ-กอน แปลว่า ตราสำหรับใช้ตีหรือประทับ ราชาศัพท์ใช้คำว่า พระราชลัญจกร)

ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย
ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย คือ มิสเตอร์เฮนรี่ อาลบาสเตอร์ (ต้นตระกูล “เศวตศิลา”) ชนชาติอังกฤษ เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า “ลอตเตอรี่” โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน
คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน คือ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยากำแพงเพ็ชรอัครโยธิน โดยประทับเครื่องบินออร์วิลไรท์ คู่กับกัปตัน มร.เวนเดนเปอร์น ซึ่งขับวนเวียนเหนือสนามราชกรีฑาสโมสร เป็นเวลา 3 นาที 45 วินาที เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2453 เป็นเครื่องบินที่บริษัทฝรั่งเศสนำมาแสดง ณ ราชกรีฑาสโมสร(สนามม้านางเลิ้ง) ซึ่งถือว่าเป็นสนามบินแห่งแรก ที่ใช้ในการบินของเมืองไทยด้วย

พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงยังดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เมื่อปี พ.ศ. 2436 - 2445 รวมระยะเวลา 9 ปี

นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน
นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน คือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2456 ต้นสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก
ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก คือ พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) ยี่ห้อออสติน จำนวน 4 คัน เปิดบริการรับจ้างครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในสมัยนั้นเรียกว่า “รถไมล์”

ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรก
ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 6 โดยแต่เดิมเรานับเวลาตอนกลางวันเป็น “โมง” และตอนกลางคืนเป็น “ทุ่ม” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้เปลี่ยนมาเรียกว่า “นาฬิกา” (เขียนย่อว่า “น.”) และให้นับเวลาทางราชการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมสากลนิยม โดยให้ถือว่าเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ และให้ถือเวลาที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษเป็นมาตรฐาน ซึ่งเวลาในประเทศไทย เป็นเวลาก่อนหรือเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 7 ชม. เช่น ไทยเป็นเวลา 19.00 น. ทางกรีนิชเท่ากับ 12.00 น. เป็นต้น

ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก
ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก คือ มิสเตอร์เอ็ดวิน แมกพาแลนด์ ยี่ห้อเรมิงตัน

นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย คือ พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 ส่วนนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งคือ นายควง อภัยวงศ์ หลังจากที่เข้าดำรงตำแหน่งได้ประมาณ 1 เดือนเศษ ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 ได้ถูกคณะนายทหารเข้าพบ เพื่อขอร้องแกมบังคับ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กับจอมพลป. พิบูลสงคราม กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 3

ยศสูงสุดของทหารไทย
ยศสูงสุดของทหารไทย คือ ยศจอมพล แต่ปัจจุบันไม่มีการแต่งตั้งแล้ว ยศสูงสุดทางทหารในปัจจุบันคือ “พลเอก” ผู้ที่เป็นจอมพลคนแรกของไทยคือ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงเป็นต้นสกุล “ภาณุพันธุ์” ส่วนจอมพลคนแรกในระบอบประชาธิปไตย คือ จอมพลป. พิบูลสงคราม และคนสุดท้าย ที่ดำรงตำแหน่งจอมพลในระบอบประชาธิปไตยคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2516 (สำหรับพระมหากษัตริย์ จะทรงดำรงตำแหน่ง “จอมทัพไทย”)

ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน
ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน คือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยากร) เป็นผู้แต่งทำนอง และหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เป็นผู้แต่งเนื้อร้อง เมื่อ พ.ศ. 2483

ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย
ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยได้ทรงค้นคิดและวิจัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 และทรงถ่ายทอดแนวพระราชดำริ และผลการวิจัยแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตร จนมีการทำฝนหลวงพระราชทานครั้งแรก ในปีพ.ศ. 2512

มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร

สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย
สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงจบอักษรศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2519

คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ
คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ คือ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499

ผู้นำไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ
ผู้นำไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ คือนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 18 ของไทย ได้รับในสาขางานบริการภาครัฐบาล ประจำปี พ.ศ. 2540




สิ่งแวดล้อมดีด้วยฝีมือเรา
คนมีกิจกรรมที่ทำลายสภาพแวดล้อมให้เสื่อมโทรมได้หลายอย่าง เช่น การหุงหประกอบกาหาร, การใช้รถยนต์พาหนะ, การทิ้งขยะและของเหลือ ใช้ รวมถึงการใช้สารเคมีชนิดต่าง ๆทุกครั้งที่คุณประกอบอาหารย่อมทำให้เกิดเศษสิ่งเหลือใช้ และ สิ่งเจอปนเปื้อนในน้ำทิ้งมากมาย น้ำมันหรือไขมันที่ใข้ประกอบอาหาร และเศษอาหารคือตัวการสำคัญของปัญหา ท่อน้ำทิ้งอุดตัน

ยานพาหนะที่คุณใช้ ไม่ว่ารถจักยานยตน์ รถเก๋ง หรือรถบรรทุก ล้วนเป็นแหล่งก่อมลพิษได้ทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอจากผู้เป็นเจ้าของ หรือแม้แต่การใช้สารเคมีบางชนิด เช่น สารเคมีบรรจุ กระป๋องที่ใช้กำจัดยุงมด แมลงทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้คุณมี การดูแล และกำจัดอย่างถูกต้องหรือเปล่าถึงเวลาแล้วที่กรุงเทพมหานครต้องได้รับการแก้ไขและป้องกันเพื่อ เรียกคืนสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับพวกเราทุกคน และคุณก็มีส่วนช่วยดูแลรักษา สิ่งแวดล้อมได้ ด้วยการร่วมมือ... ปฏิบัติตั้งแต่วันนี้
ถ้าคุณเป็นเจ้าของหรือผู้ใช้รถยนต์ คุณก็เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยลดมลพิษทางอากาศได้

ถ้าคุณใช้รถจักยานยนต์
1.เลือกใช้นำมันไร้สารตะกั่ว
2.ใช้นำมันหล่อลื่นชนิดลดควันขาวที่ได้มาตรฐาน และ ไม่เติมนำมันหล่อลื่นในถังน้ำมันเชื้อเพลิง
3.หมั่นตรวจสอบ และบำรุงรักษาเครื่องยนต์ตามคำแนะนำของผู้ผลิตอยู่เสมอ
4.เลือกใช้มอเตอร์ไซค์ ชนิด 4 จังหวะ แทนชนิด 2 จังหวะ
ถ้าเป็นรถเก๋งส่วนบุคคล
1.เลือกใช้นำมันไร้สารตะกั่ว
2.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนดเวลา
3.หมั่นตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ตามกำหนดเวลา
4.หมั่นตรวจสอบ หม้อกรองอากาศ หัวเทียน อุปกรณ์จ่ายน้ำมัน
หรือใช้รถปิคอัพ และ รถบรรทุก
1.ใช้นำมันดีเซลกลั่นอุณหภูมิต่ำ
2.ไม่บรรทุกหนักเกินกำลังรถ
3.ตรวจสภาพเครื่องยนสม่ำเสมอ
4.การบรรทุกดิน หิน ทราย ต้องใช้ผ้าคลุมมิดชิดป้องกันการฟุ้งกระจาย
5.ทำความสะอาดล้อรถก่อนออกวิ่งบนถนน

น้ำเสียจากครัว
สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสียนั้นมีส่วนหนึ่งมาจากการล้างภาชนะที่มีเศษอาหารซึ่งมีน้ำมันเจือปนอยู่และอาจทำให้ท่อระบายน้ำอุดตัน
1.ควรรวบรวมเศษอาหาร แยกไว้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง
2.แยกไขมัน และ น้ำมันใส่ภาชนะหรือถุงดำ ไม่ทิ้งรวมไปกับน้ำล้างภาชนะ
3.อาจติดตั้งอุปกรณ์ดักไขมันกับท่อน้ำทิ้งจากอ่างล้างจาน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยแยกไขมันออกจากน้ำได้ง่ายขึ้น ก่อนปล่อยน้ำออกสู่ท่อสาธารณะ

ขยะมีหลายประเภท การทิ้งหรือกำจัดควรทำให้เหมาะสม
1.แยกชนิดของขยะมูลฝอย ทิ้งลงตามประเภทของขยะ เช่น ขยะเปียกทิ้งลงถังสีเขียว ขยะแห้งทิ้งลงถังสีเหลือง และขยะอันตราย ทิ้งลงถังสีเทาแดง เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการกำจัด
2.ขยะแห้ง ยังมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่นแก้ว โลหะ กระดาษ พลาสติก สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก (Recycle) เป็นการลดปริมาณขยะ และสงวนทรัยพากรธรรมชาติได้
3.ขยะอันตราย เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ ภาชนะบรรจขุสารฆ่าแมลง สีทินเนอร์ ยาและเครื่องสำอางค์ที่หมด อายุ ควรแยกกำจัดให้เหมาะสม
4.การเผาขยะ เป็นการเพิ่มมลพิษอากาศ และกระจายฝุ่นละออง จึงต้องควบคุมอย่างใกล้ชิด

รู้จักเลือกซื้อสินค้า
สินค้าที่เป็นอันตราย ควรซื้อแค่พอใช้และใช้ให้หมดทุกครั้ง เพื่อลดการทำลายหรือการเหลือทิ้ง เช่น สารฆ่าแมลง
1.หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารคลอโรฟูลออโรคาร์บอน หรือซีเอฟซี (CFC) เช่น โฟม กระป๋องสเปรย์ สารทำความเย็นในตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศซึ่งมีผลทำให้ชั้นโอโซนในเบาบาง และไม่ซื้ออาหารที่บรรจุในกล่องโฟม
2.หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น ถ้วยหรือจานกระดาษ โดยเลือกใช้ภาชนะที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้
3.ควรใช้ตะกร้าจ่ายตลาด หรือถุงผ้าแทน การใช้ถุงพลาสติก หลาย ๆ ถุง เป็นการลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก และปริมาณขยะ
สร้างสวนเพิ่มพื้นที่สีเขียว
ช่วยกันปลูกและบำรุงต้นไม้ในบ้าน เพราะนอกจากต้นไม้จะช่วยดูดชับความชุ่มชื้นแก่ผิวดิน และ ช่วยลดมลพิษทางอากาศ แล้วยังเพิ่มความ ร่มรื่น สวยงาม และอากาศบริสุทธิ์ให้กับสมาชิกในบ้านด้วย

โสม ยารักษาโรคของคนจีน (GinSeng)



โสมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่าง ๆ มากมายจึงได้รับการ พิจารณาให้เป็นสมุนไพร รักษาโรคที่ได้รับความนิยมมาก ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ด้วยคุณสมบัติหลายประการ รวมถึงการช่วยให้อวัยวะ ต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ และโดยเฉพาะ คุณสมบัติที่โดดเด่น คือ การเพิ่มประสิทธิภาพร่างกาย ภายใต้สภาวะที่อ่อนเพลีย


จากปรัชญาของลัทธิเต๋า แนวคิดในการรักษาโรคด้วยสมุนไพรของทั่วโลก ได้รับการพัฒนาเริ่มแรกจากประเทศจีนในหลายสหัสวรรษที่ผ่านมาด้วยความเชื่อว่า ความแข็งแกร่ง เป็นพื้นฐานของการมีชีวิตที่ยืนยาว และสุขภาพดี ดังนั้นการรักษาและ เพิ่มพลังให้แข็งแกร่ง ซึ่งเรียกว่า ชิ จึงมีบทบาทสำคัญ ในการรักษา โรคตามแบบดั้งเดิมของจีน


ในแนวทางของประเทศทางซีกโลกตะวันตก ประชาชนมักจะขอคำแนะนำจาก แพทย์เมือเจ็บไข้ได้ป่วย ขณะที่ในประเทศจีน ใช้วิธีป้องกันโรคภัยต่าง ๆ โดยการรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงด้วย การแนะนำด้าน โภชนาการที่ถูกต้อง การรักษากระบวนการเคลื่อนไหว กิจกรรมฝึกการหายใจและสมุนไพร ที่คัดเลือกมาเป็นอย่างดี สัญญานเตือนภัยประการแรก ของการเจ็บป่วยคือความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยขาดสมาธิ หรือเซื่องซึม ซึ่งควรได้รับการเยียวยาอย่างเร่งด่วน


การปรุงยาสมุนไพรเป็นพื้นฐานของการรักษาแบบดั้งเดิมของชาวจีน โดยมีการคัดเลือก พืชสมุนไพรออกเป็น 3 ประเภท อาทิ สมุนไพร ระดับราชวงศ์ ซึ่งสามารถนำมาใช้กับผู้ป่วย และคนที่สุขภาพแข็งแรงเพื่อรัษาและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของร่างกาย นอกจากนี้ยังมี สมุนไพรระดับข้าหลวง ซึ่งใช้ต่อสู้กับโรคบางประเภท ส่วนสมุนไพรผู้ช่วย นั้นมใช้เป็น ยารักษาโรค


โสมนับเป็นสมุนไพรระดับราชวงศ์ ซึ่งมีชื่อเรียกทางวรรณกรรมว่า น้ำอมฤต ด้วยคุณสมบัติพิเศษและมีประสิทธิภาพสูง


โสมได้รับการจัดเข้าเป็นพืชตระกูล Panax ginseng CA Meyer โดยนักพฤษาศาสตร์ที่มีชื่อว่า CA Mayer ในปี 2385 ซึ่งต่อมาในปี 2503 ได้นำมาตรวจสอบอย่างเป็นระบบบโดยบริษัทฟาร์มาตอน เอสเอ จำกัด ในลูกาโน สวิสเซอร์แลนด์ ด้วยการพิจารณาด้านคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา พิษวิทยา และมีการทดลองทางคลินิก จากการศึกษาทดลองทางการแพทย์ พบว่าสารประกอบสำคัญในรากโสมคือจินซีโนซายด์ (ginsenosides) ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำหน้าที่ได้อย่าง แข็งแกร่ง โดยส่งผ่านไปทั่วร่างกายตามกระแสเลือด ซึ่งกระตุ้นและให้พลังงานจากภายในร่างกาย

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันคริสต์มาส





ประวัติวันคริสต์มาส



คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส



ต้นคริสต์มาส

ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น


ซานตาคลอส

ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

อื่นๆๆ

การให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียมนี้ เริ่มกับชาวโรมที่เคยให้ของขวัญแก่เพื่อนในวันขึ้นปีใหม่ (มักจะเป็นผลไม้ ขนม หรือทองคำ) ต่อมาชาวอังกฤษถือ "วันกลอง" (ในวันที่ 26 ธันวาคม) เป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กลองทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน ต่อมาชาว อังกฤษก็ให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในวันนั้นด้วย ในทวีปยุโรป เด็กๆ มัก จะเข้าใจว่า พระกุมารเยซูเป็นผู้นำของขวัญมาให้เขา (แท้จริงแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ต่างหาก) แต่เด็กที่สหรัฐอเมริกามักจะคิดว่า "ซานตาคลอส" เป็นผู้ให้ คืนก่อนวันคริสต์มาส หรือคริสต์มาสอีฟ จะมีงานแครอลลิ่ง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นการแสดง ร้องเพลง

เพลงวันคริสต์มาส

เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

7 เคล็ดลับ รักษาความจำยืนยาว



อ้าว......ใครอยากมีความจำดียกมือขึ้น วันนี้เจอข้อมูลจาก Kapook.com เกี่ยวกับการรักษาความจำให้ยืดยาว ด้วยวิธีการทั้ง 7 โดยมีรายละเอียด ดังนี้


ศูนย์วิจัยเนสท์เล่ สวิตเซอร์แลนด์ รายงานผลการศึกษาวิจัยของ ดร. สเตฟานี สติวเดนสกี้ แห่งโรงเรียนแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพิสเบิร์ก ในการประชุมวิชาการเรื่อง "ความทรงจำที่ยืนยาว" ระบุว่าสมองมีพัฒนาการอย่างเต็มที่ในช่วงวัยรุ่น สามารถต้านการเสื่อมของความจำได้ ลักษณะเดียวกับการสร้างมวลกระดูกในช่วงวัยรุ่นที่สามารถช่วยป้องกันกระดูกหักในวัยชรา

ดร. สติวเดนสกี้ กล่าวว่า เซลล์สมองมีพัฒนาการมากในช่วงต้นของชีวิต มีหลักฐานแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการสร้างเซลล์สมองขณะที่มีอายุน้อยมีส่วนป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองที่อาจจะเกิดขึ้นในแต่ละวัน ดังนั้นแม้เมื่อเข้าสู่วัยชราสมองก็ยังสามารถทำงานต่อได้ สำหรับเคล็ดลับในการรักษาสติปัญญาในวัยชรา คือ


1. กินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ เลือกอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำแต่อุดมไปด้วยผักและผลไม้ รวมทั้งกลุ่มวิตามินบีควรกินปลาหลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะปลาที่มีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า

2. ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดิน เต้นรำ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ทำสวน อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์

3. ไปพบแพทย์เป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

4. นอนหลับให้เพียงพอ หากนอนน้อยกว่าวันละ 7-8 ชั่วโมง ทำให้ความจำและสมาธิไม่ดี

5. ลดความเครียด ด้วยการออกกำลังกาย สวดมนต์ และทำสมาธิ

6. คิดและใช้สมอง ยิ่งใช้สมองมากยิ่งทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกมคอร์สเวิร์ด เข้าร่วมอภิปรายกลุ่ม เข้าเรียนพัฒนาตนเองในคอร์สต่างๆ เรียนเปียโน หรือเรียนภาษา ฯลฯ

7. เข้าสังคมเพื่อให้สมองตื่นตัว เช่น พบเพื่อนใหม่ เข้าร่วมเป็นสมาชิกหรืออาสาสมัคร หรือทำงานนอกเวลา
7 วิธีง่ายๆ ที่ว่า คุณก็ทำได้ @^_^@ ขอให้โลกสงบสุข


มีใครเชื่อหรือไม่ว่า เล็บก็สามารถบอกโรคได้

โดยทั่วไปเล็บเป็นส่วนที่งอกออกมาจากผิวหนัง เป็นเซลที่ตายแล้ว มีส่วนประกอบหลักเป็นสารประเภทโปรตีนที่ชื่อว่า เคราติน (Keratin) เล็บที่ปกตินั้นจะมีสีชมพูอ่อน ๆ เสมอกัน เนื้อเล็บแข็งเรียบ ลื่น แต่บางครั้งเล็บอาจมีรูปร่างหรือสีผิดปกติได้ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติหรือโรคภัยบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย ดังนี้


- เล็บขาวซีด อ่อน แบน และบุ๋ม : มักพบในคนที่เป็นโรคโลหิตจางซึ่งอาจมาจากการขาดธาตุเหล็ก

- เล็บขาวเป็นแผ่นตรงกลาง : เป็นความผิดปกติที่พบในโรคตับ,

- เล็บเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา : พบในโรคผิวหนังที่เรียกว่าสะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง

- เล็บหนากว้าง และโค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีออกม่วงคล้ำ : พบในผู้ป่วยโรคหัวใจ (ลิ้นหัวใจรั่ว) โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง

- เล็บเป็นดอกหรือจุดขาว ๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์ : แสดงว่ามีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยหนัก หรือขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลสร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์

- เล็บเหลือง : ถ้าเป็นบางเล็บบนนิ้วที่ถนัด อาจเป็นสารนิโคตินจากบุหรี่ที่มาเกาะเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ หรือพบในโรคปอดบางชนิด โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต

- เล็บเปลี่ยนสีเป็นครึ่งขาวครึ่งชมพู : พบในโรคไตบางชนิด

- เล็บเป็นจุดหรือเส้นสีม่วง เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก : พบในโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ โรคตับ โรคขาดวิตามินซี

- เล็บสีดำ : พบในโรคลำไส้ผิดปกติ มีจุดดำๆ ตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปาก ริมฝีปาก ส่วนมากขาดวิตามินบี 12

- เล็บที่ออกสีเทา ๆ หรือดำคล้ำ : พบในคนที่ได้รับตัวยาบางชนิดเช่น Phenolphthalein ในยาระบาย และยารักษาโรคมาลาเรีย

อยากรู้ว่าเป็นโรคอะไร สังเกตดูจากเล็บกันเลย

ข้อดีของการออกกำลังกาย



ทราบหรือไม่ว่าการออกำลังกายมีข้อดีอย่างไร มีข้อดีของการออกกำลังกายมาบอก


1. ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง สมองก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่มีการเสื่อมลงตามวัย แต่การออกกำลังกายช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ ทำให้สามารถคิดและจดจำได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายนอกจากนี้การออกกำลังเป็นประจำ ยังทำให้ดูกระฉับกระเฉง มีสมาธิในการเรียนรู้ได้ดีกว่า


2. ทำให้กระดูกแข็งแรงหนาขึ้น การกินแคลเซียมเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ควรอออกกำลังกายควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง

3. ทำให้ผิวสวย การออกกำลังกายจะช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น ยิ่งร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้นเพียงใด ก็จะยิ่งช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้มากขึ้นเท่านั้น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น

4. ลดความเครียด การออกกำลังกาย ช่วยลดความวิตกกังวล ผ่อนคลายความเครียดได้ เนื่องจากในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์หรือสารแห่งความสุข ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว จิตใจก็ได้เคลื่อนไหวไปด้วย ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่กังวลอยู่ ส่วนการออกกำลังกายแต่ละชนิด มีผลต่อสมองต่างกันการออกกำลังกายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิ เช่น โยคะ หรือไทเก๊ก จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในสมองได้มากกว่า การออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงมาก ๆ


5. ช่วยผ่อนคลายภาวะการปวดประจำเดือน วิธีธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการปวดท้องเมนได้ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค ถ้าไม่มีเวลาก็ออกกำลังง่าย ๆ ด้วย การซิท-อัพตอนเช้าก็ได้ ยิ่งใกล้รอบเดือน ก็ยิ่งควรซิท-อัพไว้ล่วงหน้า เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณมดลูกมีความยืดหยุ่นทำงานได้ดีขึ้น


6. ลดอาการท้องผูก การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว ๆ การวิ่งเหยาะ การว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ระบบขับถ่ายได้ระบายของเสียและสารพิษออกจากร่างกายมากขึ้น


7. ทำให้หลับง่ายขึ้น การออกกำลังกายในช่วงเย็น ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายมีผลโดยตรงกับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย


8. ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนแข็งแรง ทำให้หุ่นกระชับสมส่วน


รู้อย่างนี้แล้ว หันมาออกกำลังกายกันวันละนิดเพื่อร่างกายที่แข็งแรง




พืชอาหาร พริก กาแฟ พริกไทย ...ลดไขมัน



มช.วิจัยสรรพคุณพืชอาหาร พริก กาแฟ พริกไทย ...ลดไขมันการใช้

“สารสกัดจากธรรมชาติ” ในรูปอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ทาภายนอกร่างกายให้ “รูปร่างได้สัดส่วน” ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมทั้งในกลุ่มหญิง ชาย ที่ต้องการ “ลดไขมัน” ส่วนเกิน

และ...เพื่อให้เป็นอีกทางเลือก ภญ.รศ.ดร. อรัญญา มโนสร้อย และ ภก.ศ.ดร.จีรเดช มโนสร้อย พร้อมด้วย นศ.ภ.จามร รุ่งโรจน์นวกุล และ นศ.ภ.ศุภลักษณ์ นันตา นักศึกษาปริญญาตรีผู้ช่วยวิจัย สายวิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงคิดค้นพัฒนา “ตำรับสมุนไพรเพื่อลดสัดส่วนในรูปแบบเจลใช้ทา” ขึ้น โดยได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการ IRPUS ปี พ.ศ. 2550 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

ภญ.รศ.ดร.อรัญญา หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า สมุนไพรที่นำมาใช้ได้แก่ พริก บริเวณส่วน “รก” ที่มีเมล็ดติดอยู่จะมีสาร capsaicin ทำให้เผ็ด ส่งผลให้ร่างกายขับเหงื่อ กำจัดสารพิษออกอันเป็นการลดน้ำหนัก น้ำมันจาก พริกไทย ซึ่งเป็นสารประเภท monoterpenes ร้อยละ 60-80 sesquiterpenes ร้อยละ 20-40 ที่สำคัญได้แก่ limonene, caryophyllene และ pinene

นอกจากนี้ “โอลิโอเรซิน” ในพริกไทย หากนำมาสกัดด้วยตัวทำละลาย จะได้สารประเภท อัลคาลอยด์ ที่สำคัญคือ piperine piperidine และ piperanine มีสรรพคุณใช้เป็นยาขับลม ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ฯลฯ ส่วนคาเฟอีนใน กาแฟ ที่นอกจากจะช่วย กระตุ้นหัวใจ และ ระบบประสาทส่วนกลาง อย่างอ่อน ยังมีฤทธิ์ในการเพิ่ม fat oxidation และ mobilize fat

จากสรรพคุณดังกล่าว จึงน่าจะมีผลช่วยลดไขมันส่วนเกิน ทีมวิจัยจึงทำการสกัดด้วยวิธี continuous extraction, soxhlets extraction และ liquid-liquid extraction ตามลำดับ แล้วจัดทำ specification ของสารสกัดที่ได้ศึกษาความคงตัว พบว่า มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาการดูดซึมไม่สามารถสารออกฤทธิ์ผ่านไปยังเซลล์ไขมัน

ดังนั้น จึงพัฒนาตำรับเจลที่เก็บกัก ในรูปของ “อนุภาคขนาดนาโน นีโอโซม” (อนุภาคขนาดเล็กระดับนาโนเมตร)

ซึ่งมีส่วนประกอบของสารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ เช่น Tween และ Span ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารสกัดฯเข้าสู่ผิว ทำหน้าที่ช่วยออกฤทธิ์ที่เซลล์ไขมันได้ตามต้องการ อีกทั้งเป็นตัวพาสารเข้าชั้นผิวหนังได้ลึกและเพิ่มความคงตัว จากนั้นนำมาผสมในเจลเบส จะได้เจลที่มีลักษณะสีส้มขุ่น มีกลิ่นของสมุนไพร นำมาศึกษาลักษณะความคงตัวทางเคมีและกายภาพที่อุณหภูมิ 4 ํC 25 ํC และ 45 ํC เป็นเวลา 30 วัน พบว่าตำรับเจลที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 25 ํC และ 45 ํC มีสีที่จางลงเมื่อเทียบกับตำรับที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 4 ํC นำเจลไปทดสอบในอาสาสมัคร

โดยใช้ทาที่บริเวณต้นแขนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในลักษณะเนื้อเจล การซึมซาบ และความหนืด ส่วนการลดไขมันส่วนเกินพบว่า อาสาสมัคร 26.67 เปอร์เซ็นต์ มีขนาดรอบต้นแขนลดลง แต่ไม่มีนัยสำคัญซึ่งจะต้องทำการศึกษาวิจัยเพื่อยืนยันในจำนวนอาสาสมัครที่เพิ่มมากขึ้นและใช้เวลาที่นานกว่า 2 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจนขึ้น

ผลงานวิจัยนี้ น่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยยกระดับสมุนไพรไทยให้ก้าวไกลไปต่างแดน ในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างแน่นอน

30 เรื่องน่ารู้ของแมลง(รู้แล้วจะอึ้ง)



ระยะไข่ของแมลงที่ยาวนานที่สุด: 9เดือนครึ่ง ในไข่ของด้วงหนวดยาว Saperda carcharia
วางไข่ได้มากที่สุด: นางพญาปลวก Macrotermes จำนวน 40,000ฟอง/วัน
ตัวอ่อนของแมลงวันอีฟายริด อาศัยในน้ำพุร้อน ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 60 องศาเซลเซียส
-หมัดหิมะยังคงอยู่ในสภาพปกติ ที่อุณหภูมิ -15 องศาเซลเซียส
- ตัวอ่อนของริ้น Polypedilum สามารถดำรงชีวิตอยู่รอดโดยปราศจากน้ำเป็นปี และอยู่ได้ 3 วันในไนโตรเจนเหลว -196 องศาเซลเซียส
- ผีเสื้อพระจันทร์อินเดีย สามารถรับกลิ่นฟีโรโมนของคู่ผสมพันธุ์จากระยะทางไกล มากกว่า 11 กิโลเมตร
วงชีวิตยาวนานที่สุดจักจั่นบางชนิด 17 ปี
ตัวอ่อนมีอายุยาวนานที่สุด : - ตัวอ่อนของด้วงเจาะไม้ มีอายุยาวนาน 45 ปี
วงชีวิตส้นที่สุด : แมลงวันมีวงชีวิตสั้นที่สุดครบสมบูรณ์ในวลา 17 วัน
ขายาวที่สุดคือ ตั๊กแตนกิ่งไม้ยักษ์ 51 เซนติเมตร
หนวดยาวที่สุด ด้วงหนวดยาวนิวกินี 20 เซนติเมตร
กระโดดไกลที่สุด : ตั๊กแตนทะเลทราย 50 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระยะ 10 เท่าของความยาวลำตัว
รังลึกที่สุด รังปลวกทะเลทรายอยู่ลึกจากพื้นดิน 40 เมตร
รังใหญ่ที่สุด รังปลวกออสเตรเลีย สูง 7 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 31 เมตร
รังสูงที่สุด รังปลวกแอฟริกันสูง 12.8 เมตร
- พลเมืองประมาณ 40,000 คน เสียชีวิตจากสาเหตุของการถูกต่อและผึ้งต่อย
เป็นพาหะนำโรคมากที่สุด : แมลงวันบ้านนำเชื้อโรคและปรสิตต่างๆ มากกว่า 30 ขนิด
- ฝูงตั๊กแตนสามารถกินพืชผลถึง 20,000 ตัน/วัน
- ในศตวรรษที่ 14 หมัดหนูเป็นพาหะนำโรคกาฬโรค ซึ่งทำให้คนตายถึง 20ล้าน คน
- แมลงปอยักษ์ก่อนยุคประวัติศาสตร์ บินได้อย่างต่ำ 69 กิโลเมตร
- แมลงมีชีวิตที่บินเร็วที่สุด ผีเสื้อเหยี่ยว ความเร็ว 53.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- กระพือปีกช้าที่สุด ผีเสื้อหางดิ่ง 300ครั้ง/นาที
- กระพือปีกเร็วที่สุด ริ้น Forcipomyia เร็ว 62,760 ครั้ง/นาที
- อพยพไกลที่สุด พีเสื้อเพ้นท์เลดี้ 6,436 กิโลเมตร จากอเมริกาเหนือถึงไอซ์แลนด์- จำนวนมากที่สุด แมลงหางดีด ประมาณ 50,000 ตัว ต่อพื้นที่ทุ่งหญ้า 1 ตารางเมตร- แมลงเล็กที่สุด ต่อมายมาริด ยาว 0.17 มิลลิเมตร
- แมลงใหญ่ที่สุด ด้วงไกโลแอธ ยาว 110 มิลลิเมตร หนัก 100 กรัม
- ปีกยาวที่สุด ผีเสื้อกลางคืน เฮอร์คิวลิสออสเตรเลีย กว้าง 28 เซนติเมตร
- เสียงดังที่สุด จักจั่น มนุษย์สามารถได้ยินเสียงของมันในระยะห่าง 400 เมตร
- ทำให้เสียชีวิตมากที่สุด มากกว่าครึ่งหนึ่งของการตายของพลเมืองหลังจากยุคหินเป็นสาเหตุมาจากมาลาเรียซึ่ง "ยุง" เป็นพาหะนำโรค

นั่งสมาธิ...สวยจากภายในเพื่อสุขภาพ



ด้วยเวลาที่น้อยลง และการงานที่รับผิดชอบมากขึ้น ผู้หญิงหลายคนต่างพากันไปออกกำลังที่ฟิตเนส แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าการออกกำลังกายที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือการนั่งสมาธิ ฝึกจิตใจ และร่างกายให้ทำงานอย่างเป็นระบบ การนั่งสมาธิมีอยู่หลายแบบ หลากหลายเทคนิค และหลายเหตุผล และเพื่อให้การนั่งสมาธินำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี
อย่างแรกผู้เริ่มต้นนั่งสมาธิควรเลือกสถานที่ที่ผ่อนคลาย ไม่มีอะไรมารบกวน เพื่อทำให้จิตใจสงบให้มากที่สุด จากนั้นนั่งในท่าที่สบาย การเลือกท่าทางในการทำสมาธิเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเลือกท่าที่ตนเองชอบมากที่สุด ถ้าหากไม่ชอบนั่งหลังตรง ตัวตรง เพราะรู้สึกไม่สบาย คุณอาจจะเลือกท่านอน นั่งพิง หรือแม้แต่กำลังเดินก็ได้

การรวบรวมความสนใจ ไปที่จุดใดจุดหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจของการทำสมาธิ และอย่าเครียดจนเกินไป ในการนั่งสมาธิ มีหลายครั้งย่อมมีเรื่องบางเรื่องที่ผ่านเข้ามาในใจ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น คุณสามารถปล่อยใจให้คิดถึงมันได้บ้างเป็นระยะ หากเมื่อเรียบร้อยแล้ว ขอให้ดึงสมาธิกลับมาที่เดิมให้ได้


การนั่งสมาธิเพื่อสุขภาพ เปรียบได้กับการให้ยากับจิตใจ เพราะการนั่งสมาธิจะทำให้สมองปลอดโปร่ง


รวมทั้งทำงานอย่างเป็นระบบ ดังนั้น จึงพบว่าผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ จะมีความทรงจำที่ดี ในขณะที่การทำงานของร่างกายก็สัมพันธ์กันดียิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ ระบบต่าง ๆ ของร่างกายสามารถทำงานได้รัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของระบบประสาท รวมถึงเรื่องการทำงานของหัวใจ การหายใจ ระบบย่อยอาหาร ซึ่งจะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ


นอกจากนั้น ยังช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม


คนที่เหมาะสมจะนั่งสมาธิ คงจะไม่พ้นผู้มีอาการเหนื่อยล้าโดยไม่มีสาเหตุ หดหู่ คิดมาก จิตใจไม่ค่อยสบาย รู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายเป็นประจำ เคร่งเครียด นอนไม่หลับ หรือมีอาการอ่อนไหวมากจนเกินไปกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต


นักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน NCCAM (National Center for Complementary and Alternative Medicine)

ได้รับรู้ถึงประโยชน์ของการนั่งสมาธิด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย พวกเขาศึกษาถึงส่วนสมองของมนุษย์ และความสัมพันธ์ของระบบทั้งสอง ได้แก่ Sympathetic Nervous System และ Para Sympathetic Nervous System ภายในร่างกายอย่างละเอียด พบว่าการโต้ตอบของร่างกายสัมพันธ์กับการทำงานเป็นอย่างมาก การนั่งสมาธิเปรียบเสมือนการพักผ่อน ผ่อนคลาย และสร้างความเป็นระบบให้กับร่างกาย บทสรุปแล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่า การนั่งสมาธิส่งผลโดยรวมต่อองค์ประกอบของร่างกาย อันเป็นเรื่องสำคัญของสุขภาพโดยรวม


แล้วคุณละ เคยนั่งสมาธิหรือยัง หากต้องการสวยทั้งกาย ใจ จากภายในก็มาลองนั่งกันดูนะคะ

บิ๊กอายส์เข้าเครื่องมือแพทย์





บิ๊กอายส์เข้าเครื่องมือแพทย์ ตั้งแท่นรอ"วิทยา"เคาะใช้ปีหน้า


เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการเครื่องมือแพทย์ได้มีมติให้เลนส์สัมผัส หรือคอนแทคเลนส์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นคอนแทคเลนส์ที่แก้ไขความผิดปกติของสายตา คอนแทคเลนส์สวยงามที่ทำให้ตาโตหรือบิ๊กอายส์ และคอนแทคเลนส์รักษาโรค เป็นเครื่องมือแพทย์ ตาม พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2551 โดยจะต้องมีการควบคุมการนำเข้า การจำหน่าย และต้องขออนุญาตการนำเข้าจาก อย.ก่อน โดยขั้นตอนต่อไปจะเร่งออกประกาศ อย.บังคับใช้ โดยจะเตรียมเสนอให้นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คนใหม่ลงนามในประกาศดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้หลังจากลงราชกิจจานุเบกษา 180 วัน ซึ่งอาจจะมีระยะให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัวประมาณ 30 วัน รวมระยะเวลาแล้วน่าจะไม่เกิน 210 วันหลังจากนี้




นพ.พงศ์พันธ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้ก่อนที่ประกาศจะลงในราชกิจจานุเบกษา อย.ได้ประสานงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดต่างๆ กำชับคุมเข้มไปยังร้านค้าที่จำหน่ายคอนแทคเลนส์ที่จำหน่ายในที่ต่างๆ ทั้งมาบุญครอง สยามสแควร์ ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัดต่างๆ ได้เก็บคอนแทคเลนส์บิ๊กอายส์ออกจากท้องตลาดแล้ว ก็เหลือแต่เพียงที่ขายในอินเตอร์เน็ต ที่ยังคงมีการขายกันอยู่ ซึ่ง อย.กำลังประสานฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการอยู่




"การประกาศขายคอนแทคเลนส์บิ๊กอายส์ตามอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นการหิ้วคอนแทคเลนส์มาเองจากต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และจีน จึงทำให้ อย.ไม่ทราบว่าแหล่งของผู้จำหน่ายอยู่ที่ใด จึงจะเร่งดำเนินการตามไปถึงแหล่งจำหน่าย เพราะหากนำเข้าเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" นพ.พงศ์พันธ์กล่าว ทั้งนี้ ประกาศ สธ.กำหนดให้คอนแทคเลนส์แฟชั่นเป็นเครื่องมือแพทย์เช่นเดียวกับคอนแทคเลนส์สายตาตาม พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2551 ที่จะต้องมีการควบคุมการนำเข้า การจำหน่าย และต้องขออนุญาตการนำเข้า เพราะนักเรียนนิยมซื้อมาใส่กันมากและบางรายถึงขนาดผลัดกันใส่ หากไม่มีความจำเป็นไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ประเภทนี้ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายกับดวงตา เพราะไม่รู้แหล่งที่ผลิต อาจเป็นผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ วัสดุที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน กระบวนการผลิตมีการป้องกันการติดเชื้อหรือไม่ เพราะหากมีเชื้อก็จะทำให้เกิดปัญหาความปลอดภัย พบการขายคอนแทคเลนส์บิ๊กอายส์ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด รถเร่ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาหลี จีน โดยไม่ได้ขออนุญาต หากพบว่ามีการผลิตและจำหน่ายโดยร้านประกอบแว่น ซึ่งขายคอนแทคเลนส์สายตา มีการขายคอนแทคเลนส์แฟชั่นรวมอยู่ด้วย ก็จะต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกัน

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รอยยิ้ม^^


เคยได้ยินอยู่เสมอว่า "ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกดีได้เสมอ" ก็คิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้น เพราะพอเห็นใครยิ้มก็รู้สึกดี แต่ไม่น่าเชื่อว่ารอยยิ้มมีผลต่อความรู้สึกมากจริงๆ เพราะเพียงแค่มองภาพนี้ก็เกิดความรู้สึกดีดีได้ตั้งมากมาย นี่ขนาดตุ๊กตาปั้นหน้ายิ้มยังรู้สึกดีขนาดนี้ แล้วคนยิ้มให้กันจะรู้สึกดีขนาดไหน

ธนบัตรปลอม


จุดสังเกตธนบัตรปลอม
1. แทบเงินตัวสะท้อนแสง
2. มีลักษณะเหมือนถูกรีดลงไปทับตราครุฑ แล้วลายจะไม่ชัดเจน
3. สีสรรจะไม่สวยเหมือนของจริง
4. ของปลอมจะไม่สะท้อนแสงแล้วสีสรรไม่สดใส
5. ลายน้ำจะเห็นรูปพระลักศณ์ไม่ชัดเจนเมื่อส่องแสง
6. เนื้อกระดาษจับดูสาก ๆ
7. เมื่อธนบัตรถูกน้ำแล้วสีจะละลาย
จุดสังเกตธนบัตรจริง
1. จะมีเลข 500 แสดงอยู่ตลอดแถบเงิน
2.สีสรรจะคมชัดแล้วสวยกว่าของปลอม
3.ของจริงจะสะท้อนแสงสีสันจะดูสดใสกว่า
4.จะเห็นลายน้ำชัดเจนเมื่อส่องกับแสง
5.เนื้อกระดาษจะลื่นกว่าของปลอม
6.เมื่อธนบัตรถูกน้ำแล้วสีจะไม่ละลาย

คุณประโยชน์ของน้ำข้าว





น้ำข้าว เป็นน้ำที่ได้จากการหุงข้าวด้วยเตาถ่านที่เรียกว่า หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ ค่ะ


การหุงข้าวแบบเช็ดน้ำจะต้องใช้หม้อใส่ข้าวสารตั้งบนเตาถ่าน เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มแตกจนสุกนิ่มไปทั้งเมล็ดจึงรินน้ำออกแล้วนำหม้อข้าวไปตั้งไฟอ่อนๆ เพื่อให้น้ำข้าวในหม้อแห้งสนิทและข้าวสุกบางคนที่อยากจะทานน้ำข้าวก็คอยตะแตงหม้อไปรอบๆ หรือเรียกในภาษาที่เข้าใจง่ายว่า "ดงข้าว" คนที่อายุมากกว่า 30 ปี จะทราบดีถึงเรื่องของ "น้ำข้าว


โดยเฉพาะประโยชน์ของ "น้ำข้าว" ที่ว่ากันว่าเป็นอาหารอย่างดีสำหรับคนป่วย เมื่อคนไข้จะรู้สึกเบื่ออาหาร เพราะเกิดจากการเสียสมดุลของระบบย่อยอาหาร เพราะเป็นธรรมดาของคนที่ไม่สบายย่อมไม่รู้สึกอยากกินอะไร น้ำข้าวจึงเป็นอาหารชั้นดีของคนป่วยค่ะแต่ สำหรับคนปกติที่ไม่ป่วยแล้ว ก็สามารถทาน "น้ำข้าว" ได้ค่ะ


เพราะมีคุณค่าและสารอาหารมากมายเช่นเดียวกับ"ข้าว" อีกทั้งย่อยง่ายไม่ทำให้ท้องอืด ท้องเสียและร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารและซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอได้ทันที คนป่วยจึงสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นค่ะ


แต่สำหรับคนที่จะหา "น้ำข้าว" ในยุคอดีต อยากจะทานน้ำข้าวในยุคนี้ ไม่จำเป็นจะต้อง หุงข้าวแบบเช็ดน้ำแล้วก็ได้ค่ะ เพราะเวลานี้มีน้ำข้าวชนิดผงพร้อมชง ที่มีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินอีสูงทานน้ำข้าววันละนิด ร่างกายแข็งแรงค่ะ

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เคี้ยวมะนาวเลิกบุหรี่ใน 2 สัปดาห์ ได้จริงหรือ?





อัศจรรย์ "มะนาว" ช่วยลดสารนิโคติน เลิกบุหรี่ได้ใน 2 สัปดาห์ แนะ กินมะนาวพร้อมเปลือก เคี้ยวนานๆ 3-5 นาที ทุกครั้งที่อยากบุหรี่ ทำให้สูบรสบุหรี่ไม่อร่อย ขม เฝื่อน จนไม่อยากสูบอีก


ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวในการประชุมวิชาการ "บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ" ครั้งที่ 7 เรื่อง "เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่" โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ว่า จากผลการวิจัยพบว่า ในวิตามินซีจะมีสารที่ช่วยลดความอยากของนิโคตินได้ และช่วยฟื้นฟูร่างกายที่ทรุดโทรมให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จึงมีการนำมาใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยเทคนิคการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว ที่มีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะมะนาว พบว่า เมื่อนำไปใช้แล้วมีประสิทธิภาพได้ผลดีมาก เนื่องจากมะนาวมีผลต่อการทำงานของต่อมรับรสขม ทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไป


ผศ.กรองจิต กล่าวต่อว่า วิธีการกินมะนาวช่วยเลิกบุหรี่ ต้องหันมะนาวเป็นชิ้นเล็กๆให้มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือ พอคำ เมื่อมีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ ให้กินมะนาวแทน โดยอมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้าๆ นาน 3-5 นาที จะมีผลทำให้ลิ้นข่ม เฝื่อน จากนั้นดื่มน้ำ 1 อึก นอกจากช่วยลดความอยากนิโคตินแล้ว เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาดบุหรี่เปลี่ยนขมจนไม่อยากสูบ และสามารถกินมะนาว หรือผลไม้ชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมากๆ ได้ทุกครั้งที่เกิดความอยากบุหรี่ แต่เมื่อเทียบกัน พบว่ามะนาวจะได้ผลดีที่สุด


"การเลิกบุหรี่ ด้วยการกินมะนาวส่วนใหญ่จะสามารถเลิกบุหรี่ได้ภาย ใน 2 สัปดาห์ และไม่อยากบุหรี่อีก ถือว่าชนะนิโคตินได้ มีการนำไปทดลองกับนักเรียน หลายคนที่ได้ทดลองวิธีนี้ จะรู้สึกว่าสูบบุหรี่แล้วไม่อร่อย รสชาดไม่เหมือนเดิม ทำให้ไม่อยากสูบบุหรี่อีก อย่างไรก็ตาม แม้อาการทางกาย คือ ความอยากจะหมดไปแต่ อาการทางใจบางครั้งจะยังมีอยู่ เช่น เศร้า หงุดหงิดเหมือนคนอกหัก คนรอบข้างต้องให้กำลังใจ และตั้งใจเลิกอย่างเด็ดขาด จะสามารถเลิกได้อย่างแน่นอน" ผศ.กรองจิต กล่าว


ด้าน นางอนงค์ พัวตระกูล อาจารย์โรงเรียนบางมดวิทยา "สีสุกหวาดจวนอุปถัมภ์" ซึ่งได้รับรางวัลควบคุมยาสูบแห่งชาติ ประเภท สถานศึกษาปลอดบุหรี่ กล่าวว่า จากการทำค่ายลดละเลิกบุหรี่ โดยนำนักเรียนที่สูบบุหรี่จำนวน 75 คน มาทำกิจกรรมโดยให้ความรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่ และให้เด็กใช้เวลาในการเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง ประมาณ 3-7 วัน รวมทั้งใช้วิธีการเคี้ยวมะนาวเพื่อช่วยลดความอยากสูบบุหรี่ พบว่า ร้อยละ 75 จะสูบไปครั้งคราว เมื่อผ่าน 2 สัปดาห์ จะมีเด็กที่เลิกสูบเด็ดขาด ร้อยละ 50 และภายใน 1 ปี มีเด็กเพียง ร้อยละ 30 ที่กลับไปสูบอีก โดยปัจจัยเสริมที่ทำให้เลิกได้พบว่า หากเป็นเด็กที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงก็จะเลิกง่ายกว่าเด็กที่หัวอ่อนตามเพื่อน


"ภายใน 2 สัปดาห์ พบว่าการติดตามพฤติกรรมร่วมกับ การใช้มะนาวช่วยเลิกบุหรี่ สามารถทำให้เด็กลด และเลิกบุหรี่ได้นอกจากนี้ ต้องมีคนให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ซึ่งโรงเรียนต้องใช้ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็งในการดูแลเด็ก มีการทำโทษ แจ้งผู้ปกครอง หรือแม้แต่การให้ไปเสียค่าปรับที่โรงพักก็เคยมี เนื่องจากการเลิกบุหรี่ในเด็กกับผู้ใหญ่มีความแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ที่เลิกได้จริง ก็จะเกิดจากความตระหนักรู้เกี่ยวกับพิษภัย และไม่กลับมาสูบบุหรี่อีกตลอดไป"

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พจนานุกรมหัวใจ

ใครเป็นคนคิด . . . แล้วคิดได้ไงเนี่ย!?
"น้อยใจ"
อาการอ่อนแอของจิตใจ . . . ที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ยามที่เกิดความต้องการให้คนเอาใจ
วิธีแก้ . . . อย่าเอาแต่ใจ
"เจ็บใจ"
อาการเป็นพิษของจิตใจ . . . ที่ลามมาจากหาง เวลามีใครมาเหยียบมัน
วิธีแก้ . . . ตัดหางทิ้งซะ อย่ายกหางตัวเอง
"ละอายใจ"
อาการใฝ่ดีของจิตใจ . . . ที่ออกมาชี้หน้าด่าเรา
ข้อแนะนำ . . . เมื่อละชั่วได้ ก็ไม่อายแก่ใจ
"เสียใจ"
อาการวูบทางจิตใจ . . . เกิดจากความไม่มั่นคง
เพราะชอบเอาใจไปผูกเอาไว้กับสิ่งอื่น
วิธีแก้ . . . ตัดใจซะสิ อย่าไปผูกมันไว้
"ใจหาย"
อาการนี้ . . . ชื่อก็บอกอยู่แล้ว
วิธีแก้ . . . หายใจเข้าสิ หายใจลึกๆ แล้วจะเลิกใจหาย
"หลายใจ"
อาการสืบพันธุ์ของจิตใจ โดยการแบ่งตัว
นำไปสู่อาการน้อยใจ . . . แก่คนรอบข้างได้ในเวลาต่อมา
วิธีแก้ . . . ระลึกไว้ มีแต่พวกอะมีบาที่ใช้วิธีแบ่งแบบนี้
"ทำใจ"
อาการที่แปลกที่สุดของใจ . . .
ยิ่งทำมากเท่าไร . . . ใจยิ่งว่างเท่านั้น
ข้อแนะนำ . . . ทำทุกครั้ง ทำบ่อยๆ ค่อยๆ ทำ

พ.เพื่อนแบบนี้...มีอ๊ะป่าว??

เพื่อนคนที่เก็บ Lecture... ให้คุณยามคุณขาดเรียนโดยไม่ต้องบอกล่วงหน้า
เพื่อนคนที่เราไม่ต้องพูดอะไรเพื่อเอาใจเขา
เพื่อนคนที่เราเจอกันตอนเช้าแล้วคุณอยากเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนคุณฝันถึงอะไร
เพื่อนคนที่เราเอ่ยชื่อทุกครั้ง... เวลาพ่อแม่ถามว่าอยู่คุยกับใคร ไปกินข้าวกับใครมา
เพื่อนคนที่เราเคยยืมเงินมากเกินหลักพัน เพื่อนคนที่คุณอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบแล้วไม่อึดอัด
เพื่อนคนที่รู้ว่าเดือนๆหนึ่งเราอ่านหนังสืออะไรบ้าง... ซื้อเทปใครบ้าง เพื่อนคนที่รู้ว่าร้านไหนเป็นร้านโปรดของเรา
เพื่อนคนที่คนที่เราคิดว่า ถ้างานนั้นไม่มีเขา... เราคงกร่อย
เพื่อนคนที่เรารู้ว่าเขาชอบใคร... แล้วตอนนี้สถานการณ์ถึงไหน
เพื่อนคนที่โทรหาเราเพราะต้องการคำปรึกษา... ไม่ใช่แค่เล่าให้ฟัง
เพื่อนคนที่คนอื่นเขาเวลาเจอเรา ต้องถามหาเขา
เพื่อนคนที่เราไม่เจอกันไปสามเดือน... แล้วไม่ต้องกังวลว่าอะไรๆจะไม่เป็นเหมือนเดิม
เพื่อนคนที่เรา.... (อื่น ๆ อีกมากมาย) อ่านจบแล้วคุณคิดคิดถึงใคร ...
คน ๆ นั้น คือ เพื่อนสนิท ของคุณ เอาง่ายๆ เวลาคุณเจอคนอื่น เขาถามถึงเพื่อนคนไหนของคุณ
มีมั้ย??... ถ้ายัง หาซะนะ พยายามคิดถึงเรื่อง การคบเพื่อนเชิงคุณภาพ... ไม่ใช่ปริมาณ
เคยมั้ย เหงาท่ามกลางคนมากมาย...

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สว่างด้วย ประหยัดด้วย ช่วยโลกหายร้อน

ภาวะโลกร้อน เป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังก่อผลกระทบมากมาย ไม่ว่าใครก็อย่าได้นิ่งนอนใจ โปรดหันมาทำในสิ่งที่ท่านทำได้ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อน การเลือกใช้อุปกรณ์ให้แสงสว่างที่เหมาะสมก็มีผลในเรื่องนี้

1.ปิดสวิตซ์ไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน สร้างให้เป็นนิสัยในการดับไฟทุกครั้งที่ออก จากห้อง

2.ในสำนักงาน ให้ปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ในช่วงเวลา 12.00-13.00น. จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้

3.ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้หลอดผอมจอมประหยัดแทนหลอดอ้วน ใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ หรือใช้หลอดคอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์

4.ควรใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟ หรือบัลลาสต์อิเล็กโทรนิกคู่กับหลอดผอมจอมประหยัด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดไฟได้อีกมาก

5.ควรใช้โคมไฟแบบมีแผ่นสะท้อนแสงในห้องต่างๆ เพื่อช่วยให้แสงสว่างจากหลอดไฟ กระจายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าวัตต์สูง ช่วยประหยัดพลังงาน

6.หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้าน เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่าง โดยไม่ต้องใช้พลังงาน มากขึ้น ควรทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี

7.ใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำ สำหรับบริเวณที่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือข้างนอก เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า

8.ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือติดตั้งไฟเฉพาะจุด แทนการเปิดไฟทั้งห้องเพื่อทำงาน จะประหยัดไฟลงไปได้มาก

9.ควรใช้สีอ่อนตกแต่งอาคาร ทาผนังนอกอาคารเพื่อการสะท้อนแสงที่ดี และทาภายในอาคารเพื่อทำให้ห้องสว่างได้มากกว่า

10.ใช้แสงสว่างจากธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น ติดตั้งกระจกหรือติดฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน แต่ต้องให้แสงผ่านเข้าได้ เพื่อลดการใช้พลังงานเพื่อแสงสว่างภายในอาคาร

11.ถอดหลอดไฟออกครึ่งหนึ่ง ในบริเวณที่มีความต้องการใช้แสงสว่างน้อย หรือบริเวณที่มีแสงสว่างพอเพียงแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

12 เคล็ดลับง่ายๆ เพื่อหน้าใสไร้ริ้วรอย


icon 1. ไม่ควรนอนดึกหรืออดนอน แม้ก่อนหน้านี้จะเคยใช้เวลาช่วงกลางคืนหมดไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือจะทำงานก็ตาม แต่ถ้าอยากหน้าใสไร้ริ้วรอย เมื่อถึงเวลาหัวค่ำแล้วก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลาซะ หยุดกิจกรรมที่เคยชินเสียเดี๋ยวนี้ ร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

icon 2. ควรดื่มน้ำในปริมาณอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ซึ่งน้ำในที่นี้ไม่นับพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม แต่ต้องเป็นน้ำเปล่าที่สะอาด ไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป เพราะเมื่อเราดื่มน้ำอย่างเพียงพอแล้ว ปัญหาผิวแห้งหรือผิวเป็นขุยจะหมดไป แถมทำให้ดวงตาดูสดใส ผิวอวบอิ่มไร้ริ้วรอยอีกด้วย

icon 3. ไม่ลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆ แค่ขยับปากพูดคำว่า "อา อี เอ โอ อู" แค่นี้กล้ามเนื้อหน้าก็จะได้รับการดูแลไม่ให้เหี่ยวย่น

icon 4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด และเครื่องดื่มจำพวกน้ำชา กาแฟ ไม่อย่างนั้นริ้วรอยจะมาเคาะประตูถามหาอย่างแน่นอน อีกทั้งต้องงดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่คือตัวอันตรายที่จะทำให้หน้าของคุณดูแก่เกินอายุ

icon 5. หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ก่อนวัยโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดด ก็อย่าลืมใช้ครีมกันแดด SPF สูงๆ ทาป้องกันก่อนเดินทางออกจากบ้าน

icon 6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ง่าย เช่น ในห้องแอร์ฯ ที่หนาวจัด ถ้าอยู่นานๆ ความเย็นที่ติดลบก็จะทำลายผิวหน้าของคุณ

icon 7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ ยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้ว คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะ แคะ บีบ เกา บริเวณที่เป็นสิวอย่างเด็ดขาด

สำหรับคนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะเป็นหลุมเป็นบ่อคล้ายกับดวงจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ ดังนั้นไม่ควรไปยุ่งกับสิวเลย นอกจากการแต้มยาลดการอักเสบ การบวม เท่านั้น ที่เหลือใช้การรักษาความสะอาดเข้าช่วยเป็นพอ

icon 8. ความเครียดก็เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้หน้าคุณหมองคล้ำ ความเครียดเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องงาน เงิน ครอบครัว หรือความรัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นมารบกวนจิตใจคุณ ก็จงอย่าเครียด ค่อยๆ แก้ไขอย่างมีสติ และพยายามสงบใจไม่ให้เป็นทุกข์

อีกกรณีของความเครียด ก็เกิดมาจากการที่คุณมีสิวขึ้นบนใบหน้า ยิ่งเครียดยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นยิ่งเครียด สุดท้ายแล้วหน้าตาคุณก็จะทั้งหมองทั้งแก่ เพราะสิวแค่เม็ดเดียวเท่านั้น

icon 9. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ก็ควรต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษ ควรที่จะใช้โลชั่นที่มี AHA ทาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ก็แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม

icon 10. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน และคุณควรจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงาน หรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆ มาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นใบหน้าได้

icon 11. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยให้คุณล้างมาสคาราหรืออายแชโดว์ ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคายเคืองผิว ซึ่งอาจนำไปสู่การกำเนิดสิว

icon 12. หากคุณมีปัญหาเรื่องผิวหน้าไม่เรียบ หมองคล้ำ เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นสิว เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับผิวหน้า ควรจะไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน