วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ประโยชน์ของการหัวเราะ
5 เคล็ดลับ กินผักผลไม้ให้มากขึ้น
12 เคล็ดลับง่ายๆ เพื่อหน้าใสไร้ริ้วรอย
7 เคล็ดลับรักษาเท้า ให้น่าคลั่งไคล้
10 ข้อคิด เพิ่มคุณค่าให้ชีวิต
เคล็ดลับในการเพิ่มความจำ
ความสามารถในการจำของมนุษย์มีความพิเศษเหนือสัตว์อื่นๆ ความจำ เป็นสิ่งวิเศษที่เราสามารถเรียกคืน ประสบการณ์เก่าๆ กลับมาอีกครั้ง หากไม่มีความจำ เราคงลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต และเราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่เหมือนเด็กอ่อนที่เพิ่งเกิดทุกวัน คล้าย ๆ กับคนแก่ที่ความจำเลอะเลือนกลับกลายเป็นเหมือนเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะความจดจำได้ เราจึงเรียนรู้ได้ โดยเอาสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตมาวิเคราะห์และปรับปรุง เราสามารถเรียกคืนความจำเก่าๆจากจิตใต้สำนึกเมื่อเราต้องการ และจากความรู้อันนี้ทำให้เรา สามารถทำงานบางอย่างที่เราได้เรียนมาอย่างช่ำชอง หรือหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีได้
จิตใต้สำนึกของเราบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะทุกวันที่เราตื่นนอน เราจำได้ว่าเมื่อคืนเรานอนหลับดีหรือไม่ ความจำเป็นสิ่งไม่ตาย แต่สถิตถาวรภายใต้จิตสำนึก หากเรามีการฝึกฝนที่ดี เราสามารถเรียกความจำเก่าๆ ในชีวิตปัจจุบัน และแม้แต่ในอดีตชาติก่อนๆ กลับมาได้
ความจำของเราถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือความจำชั่วคราว และความจำถาวร ความจำชั่วคราวของเรา จำได้ไกลเพียงแค่ในชีวิตปัจจุบัน ส่วนความจำถาวรบันทึกทุกสิ่งที่เกิดกับจิตวิญญานของเราในทุกภพทุกชาติ บางคนสามารถจำได้แค่เหตุการณ์ในชีวิตนี้ แต่บางคนจำได้ทั้งไกลถึงอดีตชาติ แต่บางคนจำไม่ได้แม้เหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่วัน คุณภาพของการจำ แตกต่างกันไป แล้วแต่คุณภาพของสมองแต่ละคน การศึกษา การฝึกสมาธิ และการฝึกฝนความจำในแบบต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการจำได้ ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ต้องเป็นคนที่มีความจำที่ดี
การบริหารร่างกายเพิ่มความจำท่าการบริหารร่างกายที่เหมาะสม เช่นการฝึกโยคะ การรำมวยจีน การเดินจงกรม สามารถพัฒนาความจำได้ ในปัจจุบันเครื่องจักรเข้าทดแทนทุกส่วนของการใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน ทำให้คนเราเกิดความเกียจคร้านในการการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้บางคนคิดค้นหาอุปกรณ์ออกกำลังภายในบ้านขึ้น เพื่อการบริหารร่างกาย แต่เราควรให้มีสติกำกับการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่ก้มงอตัวไปมา เพราะการที่มีสติและสมาธิในการเคลื่อนไหวในทุกอริยาบท ทำให้เราสามารถควบคุมและส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆของอวัยวะในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น เช่นเดียวกับการฝึกกังฟูของจีน
อาหารที่เพิ่มพลังความจำอาหารบางชนิดบำรุงสมอง บางชนิดบำรุงกล้ามเนื้อ บางชนิดบำรุงประสาท และแต่ละชนิดบำรุงแต่ละส่วนของอวัยวะ หากเราต้องการเพิ่มพลังสมอง เราก็ต้องทานอาหารที่บำรุงสมอง โดยเฉพาะโปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงสมอง เมล็ดอัลมอลด์นำมาบดผสมกับน้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม และดื่มก่อนนอนทุกคืนจะช่วยให้ความจำดีขึ้น การดื่มนม และกินเนยแข็ง (Cheese) จึงเพิ่มพลังสมอง
เมื่อใดคุณมีความกังวล อ่อนล้า ลองดื่มน้ำมะนาวสัก 1-2 แก้ว เอาน้ำเย็นลูบหัว แล้วนำมาแตะกระหม่อม คิ้ว จมูก และหู จะทำให้เส้นประสาทสงบลง และทำให้ความจำดีขึ้นทันที หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะมันจะไปตกตะกอนเป็นคอเลสเตอร์รอล ตามผนังเส้นเลือดแดง ผู้ถือศีลสมาธิบางท่านที่เคร่งครัดมักจะกินแต่อาหารมังสวิรัติ เพราะเชื่อว่าเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อหมูและเนื้อวัว ทำลายสุขภาพ เพราะมีกรดยูริคสูง ทั้งหมูและวัวมีความจำที่ต่ำ เมื่อเรากินเนื้อของสัตว์เหล่านี้มันจะนำไปสร้างร่างกายและจิตของเราตามลักษณะของสัตว์เหล่านี้ด้วย
การฝึกบริหารความจำความจำที่ดีเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน คนที่มีร่างกายที่ไม่แข็งแรงก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ชีวิตเราไม่ว่าด้านใดๆก็สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ถ้าเรามีความพยายาม แม้ความผิดปรกติของร่างกายทางกรรมพันธุ์ก็มีการพิสูจน์กันแล้วว่าสามารถแก้ได้ด้วยการฝึกสมาธิ
คนส่วนมากไม่รู้จักการฝึกสมาธิ ทำให้ความสามารถของสมองที่แฝงเร้นอยู่ ไม่ถูกนำมาใช้ และหากเราขาดการพัฒนาทางจิตหรือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ นานเข้าก็นำไปสู่ความเสียหายทางสมองและจิตได้ เพราะสมองเหมือนเช่นส่วนอื่นของร่างกาย ต้องการออกกำลัง บริหารอยู่เสมอ เพื่อคงให้อยู่ในสภาพที่ดี
การพัฒนาความจำไม่เพียงแต่เราต้องกินอาหารที่บำรุงสุขภาพแล้ว เรายังต้องฝึกจิต พยายามใช้ความจำ ฝึกการจำ เช่นมองภาพใดภาพหนึ่ง อาจเป็นภาพพุทธรูป หรือแม้แต่จะเป็นภาพวิวธรรมดาก็ได้ แล้วลองหลับตานึกภาพนั้นในใจ พยายามนึกถึงเพลงหรือบทสวดมนต์ แล้วร้องในใจ หรือสวดในใจเพื่อพัฒนาความจำ สิ่งที่ทำด้วยอารมณ์ ก็สามารถพัฒนาจิตใจ เพราะทุกคนจำเหตุการณ์ในชีวิตตอนที่ดีใจที่สุด และเสียใจที่สุดได้เสมอ เนื่องจากความรู้สึกตั้งอยู่ในส่วนลึกของความจำ ฉะนั้น การแต่งโคลงกลอน หรือแม้แต่การฝึกบวกเลข ลบเลขในใจ ก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับพัฒนาความจำ และส่งเสริมสมาธิ
การฝึกสมาธิเสริมสร้างความจำการเพิ่มพลังความจำ เราต้องทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจมั่น คนส่วนมากทำทุกอย่างแบบไร้สติ การกระทำและความคิดจึงมีช่องว่างที่ไม่เชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเหตุให้คนส่วนมากจำอะไรได้ไม่ได้ดี เราควรทำกิจการงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ทำงานก็ทำด้วยความตั้งใจ เรียนก็ฟังครูสอนด้วยความตั้งใจ จะเล่นกีฬาก็เล่นด้วยความตั้งใจ เมื่อฝึกสมาธิก็ไม่ทิ้งคำบริกรรม
สมาธิคือการตั้งใจมั่น มั่นในการกิน เดิน นอน นั่ง คด คู้ เหยียด ทุกอริยาบท ความจำได้หมายรู้มีไว้ให้เราระลึกถึงความดีที่เราเคยก่อ ที่เราเคยสร้าง การฟื้นความจำที่เราเคยเกลียดใคร โกรธใคร อาฆาตใคร เป็นการใช้ความจำในทางที่ไม่ถูกต้อง และยัง ก่อให้เกิดโทษ ตรงกันข้ามเราควรฟื้นความจำ ในแต่สิ่งที่ดี แต่บางครั้งการจำเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ที่เราเคยทำผิดพลาดไป แล้วนำประสบการณ์นั้นมาปรับปรุงแก้ไข ย่อมเป็นการใช้ความจำในทางที่ถูกต้อง แต่อย่าจมปรักอยู่ความความผิดหวังในในอดีตซึ่งทำให้เราไม่ก้าวหน้า ไม่ควรฟื้นความจำที่ไม่ดีเหล่านั้นจะดีทีสุด หากนึกขึ้นได้เราเพียงแต่หยุดคิดถึงมัน จงฝึกคิดแต่สิ่งที่ดี และคุณความดีที่เราทำ เพราะความจำสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เป็นพลังงานสุดท้ายที่ขับเคลื่อนเราไปสู่ภพใหม่ และการระลึกได้ในความดีที่เราทำในขณะนั้นเท่านั้น จึงจะนำเราไปสู่สุขคติภูมิ
แต่งกายให้ปลอดโรค
8 เคล็ดลับ นั่งแล้วไม่ปวดหลัง
7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริง และทุ่มสุดตัว ความกระหายอันแรงกล้า ที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย เป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้
วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551
แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ “จินดามณี” แต่งโดย พระมหาราชครู กวีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี พ.ศ. 2199 - 2231)
ถนนสายแรกในเมืองไทย คือ ถนนเจริญกรุง (New Road) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2404 โดยต่อมาได้มีการตัดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร รวมทั้งถนนพระราม 4 และถนนสีลมในเขตชานพระนคร
น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2410 สันนิษฐานว่า ผลิตที่สิงคโปร์แล้วส่งมาถวาย โดยใส่หีบกลบขี้เลื่อย คนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้น ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จประพาสต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2413 และเสด็จชวาด้วย
ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ โดยมีนายปโยตร์ ซูโรฟสกี้ (Pyotr Shchurovsky) ชาวรัสเซีย แต่งทำนองเพลงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2431
ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย
ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พิมพ์ออกใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2445 โดยก่อนหน้านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการผลิตธนบัตร หรือเงินกระดาษออกใช้เป็นครั้งแรก ในเมืองไทยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2396 แต่เรียกว่า “หมาย” ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาวรูปสี่เหลี่ยม พิมพ์ลวดลายด้วยหมึกทั้งสองด้าน และประทับตรา พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ตราจักร และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลสีแดงชาด (ลัญจกร อ่านว่า ลัน-จะ-กอน แปลว่า ตราสำหรับใช้ตีหรือประทับ ราชาศัพท์ใช้คำว่า พระราชลัญจกร)
ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย คือ มิสเตอร์เฮนรี่ อาลบาสเตอร์ (ต้นตระกูล “เศวตศิลา”) ชนชาติอังกฤษ เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า “ลอตเตอรี่” โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา
คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน คือ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยากำแพงเพ็ชรอัครโยธิน โดยประทับเครื่องบินออร์วิลไรท์ คู่กับกัปตัน มร.เวนเดนเปอร์น ซึ่งขับวนเวียนเหนือสนามราชกรีฑาสโมสร เป็นเวลา 3 นาที 45 วินาที เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2453 เป็นเครื่องบินที่บริษัทฝรั่งเศสนำมาแสดง ณ ราชกรีฑาสโมสร(สนามม้านางเลิ้ง) ซึ่งถือว่าเป็นสนามบินแห่งแรก ที่ใช้ในการบินของเมืองไทยด้วย
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงยังดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เมื่อปี พ.ศ. 2436 - 2445 รวมระยะเวลา 9 ปี
นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน คือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2456 ต้นสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)
ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก คือ พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) ยี่ห้อออสติน จำนวน 4 คัน เปิดบริการรับจ้างครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในสมัยนั้นเรียกว่า “รถไมล์”
ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 6 โดยแต่เดิมเรานับเวลาตอนกลางวันเป็น “โมง” และตอนกลางคืนเป็น “ทุ่ม” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้เปลี่ยนมาเรียกว่า “นาฬิกา” (เขียนย่อว่า “น.”) และให้นับเวลาทางราชการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมสากลนิยม โดยให้ถือว่าเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ และให้ถือเวลาที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษเป็นมาตรฐาน ซึ่งเวลาในประเทศไทย เป็นเวลาก่อนหรือเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 7 ชม. เช่น ไทยเป็นเวลา 19.00 น. ทางกรีนิชเท่ากับ 12.00 น. เป็นต้น
ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก คือ มิสเตอร์เอ็ดวิน แมกพาแลนด์ ยี่ห้อเรมิงตัน
นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย คือ พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 ส่วนนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งคือ นายควง อภัยวงศ์ หลังจากที่เข้าดำรงตำแหน่งได้ประมาณ 1 เดือนเศษ ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 ได้ถูกคณะนายทหารเข้าพบ เพื่อขอร้องแกมบังคับ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กับจอมพลป. พิบูลสงคราม กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 3
ยศสูงสุดของทหารไทย คือ ยศจอมพล แต่ปัจจุบันไม่มีการแต่งตั้งแล้ว ยศสูงสุดทางทหารในปัจจุบันคือ “พลเอก” ผู้ที่เป็นจอมพลคนแรกของไทยคือ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงเป็นต้นสกุล “ภาณุพันธุ์” ส่วนจอมพลคนแรกในระบอบประชาธิปไตย คือ จอมพลป. พิบูลสงคราม และคนสุดท้าย ที่ดำรงตำแหน่งจอมพลในระบอบประชาธิปไตยคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2516 (สำหรับพระมหากษัตริย์ จะทรงดำรงตำแหน่ง “จอมทัพไทย”)
ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน คือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยากร) เป็นผู้แต่งทำนอง และหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เป็นผู้แต่งเนื้อร้อง เมื่อ พ.ศ. 2483
ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยได้ทรงค้นคิดและวิจัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 และทรงถ่ายทอดแนวพระราชดำริ และผลการวิจัยแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตร จนมีการทำฝนหลวงพระราชทานครั้งแรก ในปีพ.ศ. 2512
มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร
สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงจบอักษรศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2519
คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ คือ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499
ยานพาหนะที่คุณใช้ ไม่ว่ารถจักยานยตน์ รถเก๋ง หรือรถบรรทุก ล้วนเป็นแหล่งก่อมลพิษได้ทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอจากผู้เป็นเจ้าของ หรือแม้แต่การใช้สารเคมีบางชนิด เช่น สารเคมีบรรจุ กระป๋องที่ใช้กำจัดยุงมด แมลงทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้คุณมี การดูแล และกำจัดอย่างถูกต้องหรือเปล่าถึงเวลาแล้วที่กรุงเทพมหานครต้องได้รับการแก้ไขและป้องกันเพื่อ เรียกคืนสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับพวกเราทุกคน และคุณก็มีส่วนช่วยดูแลรักษา สิ่งแวดล้อมได้ ด้วยการร่วมมือ... ปฏิบัติตั้งแต่วันนี้
ถ้าคุณเป็นเจ้าของหรือผู้ใช้รถยนต์ คุณก็เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยลดมลพิษทางอากาศได้
1.เลือกใช้นำมันไร้สารตะกั่ว
2.ใช้นำมันหล่อลื่นชนิดลดควันขาวที่ได้มาตรฐาน และ ไม่เติมนำมันหล่อลื่นในถังน้ำมันเชื้อเพลิง
3.หมั่นตรวจสอบ และบำรุงรักษาเครื่องยนต์ตามคำแนะนำของผู้ผลิตอยู่เสมอ
4.เลือกใช้มอเตอร์ไซค์ ชนิด 4 จังหวะ แทนชนิด 2 จังหวะ
1.เลือกใช้นำมันไร้สารตะกั่ว
2.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนดเวลา
3.หมั่นตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ตามกำหนดเวลา
4.หมั่นตรวจสอบ หม้อกรองอากาศ หัวเทียน อุปกรณ์จ่ายน้ำมัน
1.ใช้นำมันดีเซลกลั่นอุณหภูมิต่ำ
2.ไม่บรรทุกหนักเกินกำลังรถ
3.ตรวจสภาพเครื่องยนสม่ำเสมอ
4.การบรรทุกดิน หิน ทราย ต้องใช้ผ้าคลุมมิดชิดป้องกันการฟุ้งกระจาย
5.ทำความสะอาดล้อรถก่อนออกวิ่งบนถนน
น้ำเสียจากครัว
สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสียนั้นมีส่วนหนึ่งมาจากการล้างภาชนะที่มีเศษอาหารซึ่งมีน้ำมันเจือปนอยู่และอาจทำให้ท่อระบายน้ำอุดตัน
1.ควรรวบรวมเศษอาหาร แยกไว้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง
2.แยกไขมัน และ น้ำมันใส่ภาชนะหรือถุงดำ ไม่ทิ้งรวมไปกับน้ำล้างภาชนะ
3.อาจติดตั้งอุปกรณ์ดักไขมันกับท่อน้ำทิ้งจากอ่างล้างจาน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยแยกไขมันออกจากน้ำได้ง่ายขึ้น ก่อนปล่อยน้ำออกสู่ท่อสาธารณะ
ขยะมีหลายประเภท การทิ้งหรือกำจัดควรทำให้เหมาะสม
1.แยกชนิดของขยะมูลฝอย ทิ้งลงตามประเภทของขยะ เช่น ขยะเปียกทิ้งลงถังสีเขียว ขยะแห้งทิ้งลงถังสีเหลือง และขยะอันตราย ทิ้งลงถังสีเทาแดง เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการกำจัด
2.ขยะแห้ง ยังมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่นแก้ว โลหะ กระดาษ พลาสติก สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก (Recycle) เป็นการลดปริมาณขยะ และสงวนทรัยพากรธรรมชาติได้
3.ขยะอันตราย เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ ภาชนะบรรจขุสารฆ่าแมลง สีทินเนอร์ ยาและเครื่องสำอางค์ที่หมด อายุ ควรแยกกำจัดให้เหมาะสม
4.การเผาขยะ เป็นการเพิ่มมลพิษอากาศ และกระจายฝุ่นละออง จึงต้องควบคุมอย่างใกล้ชิด
รู้จักเลือกซื้อสินค้า
สินค้าที่เป็นอันตราย ควรซื้อแค่พอใช้และใช้ให้หมดทุกครั้ง เพื่อลดการทำลายหรือการเหลือทิ้ง เช่น สารฆ่าแมลง
1.หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารคลอโรฟูลออโรคาร์บอน หรือซีเอฟซี (CFC) เช่น โฟม กระป๋องสเปรย์ สารทำความเย็นในตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศซึ่งมีผลทำให้ชั้นโอโซนในเบาบาง และไม่ซื้ออาหารที่บรรจุในกล่องโฟม
2.หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น ถ้วยหรือจานกระดาษ โดยเลือกใช้ภาชนะที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้
3.ควรใช้ตะกร้าจ่ายตลาด หรือถุงผ้าแทน การใช้ถุงพลาสติก หลาย ๆ ถุง เป็นการลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก และปริมาณขยะ
ช่วยกันปลูกและบำรุงต้นไม้ในบ้าน เพราะนอกจากต้นไม้จะช่วยดูดชับความชุ่มชื้นแก่ผิวดิน และ ช่วยลดมลพิษทางอากาศ แล้วยังเพิ่มความ ร่มรื่น สวยงาม และอากาศบริสุทธิ์ให้กับสมาชิกในบ้านด้วย
โสม ยารักษาโรคของคนจีน (GinSeng)
วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
วันคริสต์มาส
7 เคล็ดลับ รักษาความจำยืนยาว
7 วิธีง่ายๆ ที่ว่า คุณก็ทำได้ @^_^@ ขอให้โลกสงบสุข
มีใครเชื่อหรือไม่ว่า เล็บก็สามารถบอกโรคได้
ข้อดีของการออกกำลังกาย
4. ลดความเครียด การออกกำลังกาย ช่วยลดความวิตกกังวล ผ่อนคลายความเครียดได้ เนื่องจากในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์หรือสารแห่งความสุข ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว จิตใจก็ได้เคลื่อนไหวไปด้วย ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่กังวลอยู่ ส่วนการออกกำลังกายแต่ละชนิด มีผลต่อสมองต่างกันการออกกำลังกายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิ เช่น โยคะ หรือไทเก๊ก จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในสมองได้มากกว่า การออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงมาก ๆ
5. ช่วยผ่อนคลายภาวะการปวดประจำเดือน วิธีธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการปวดท้องเมนได้ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค ถ้าไม่มีเวลาก็ออกกำลังง่าย ๆ ด้วย การซิท-อัพตอนเช้าก็ได้ ยิ่งใกล้รอบเดือน ก็ยิ่งควรซิท-อัพไว้ล่วงหน้า เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณมดลูกมีความยืดหยุ่นทำงานได้ดีขึ้น
6. ลดอาการท้องผูก การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว ๆ การวิ่งเหยาะ การว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ระบบขับถ่ายได้ระบายของเสียและสารพิษออกจากร่างกายมากขึ้น
7. ทำให้หลับง่ายขึ้น การออกกำลังกายในช่วงเย็น ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายมีผลโดยตรงกับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
8. ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนแข็งแรง ทำให้หุ่นกระชับสมส่วน
รู้อย่างนี้แล้ว หันมาออกกำลังกายกันวันละนิดเพื่อร่างกายที่แข็งแรง
พืชอาหาร พริก กาแฟ พริกไทย ...ลดไขมัน
มช.วิจัยสรรพคุณพืชอาหาร พริก กาแฟ พริกไทย ...ลดไขมันการใช้
30 เรื่องน่ารู้ของแมลง(รู้แล้วจะอึ้ง)
วางไข่ได้มากที่สุด: นางพญาปลวก Macrotermes จำนวน 40,000ฟอง/วัน
ตัวอ่อนของแมลงวันอีฟายริด อาศัยในน้ำพุร้อน ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 60 องศาเซลเซียส
-หมัดหิมะยังคงอยู่ในสภาพปกติ ที่อุณหภูมิ -15 องศาเซลเซียส
- ตัวอ่อนของริ้น Polypedilum สามารถดำรงชีวิตอยู่รอดโดยปราศจากน้ำเป็นปี และอยู่ได้ 3 วันในไนโตรเจนเหลว -196 องศาเซลเซียส
- ผีเสื้อพระจันทร์อินเดีย สามารถรับกลิ่นฟีโรโมนของคู่ผสมพันธุ์จากระยะทางไกล มากกว่า 11 กิโลเมตร
วงชีวิตยาวนานที่สุดจักจั่นบางชนิด 17 ปี
ตัวอ่อนมีอายุยาวนานที่สุด : - ตัวอ่อนของด้วงเจาะไม้ มีอายุยาวนาน 45 ปี
วงชีวิตส้นที่สุด : แมลงวันมีวงชีวิตสั้นที่สุดครบสมบูรณ์ในวลา 17 วัน
ขายาวที่สุดคือ ตั๊กแตนกิ่งไม้ยักษ์ 51 เซนติเมตร
หนวดยาวที่สุด ด้วงหนวดยาวนิวกินี 20 เซนติเมตร
กระโดดไกลที่สุด : ตั๊กแตนทะเลทราย 50 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระยะ 10 เท่าของความยาวลำตัว
รังลึกที่สุด รังปลวกทะเลทรายอยู่ลึกจากพื้นดิน 40 เมตร
รังใหญ่ที่สุด รังปลวกออสเตรเลีย สูง 7 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 31 เมตร
รังสูงที่สุด รังปลวกแอฟริกันสูง 12.8 เมตร
- พลเมืองประมาณ 40,000 คน เสียชีวิตจากสาเหตุของการถูกต่อและผึ้งต่อย
เป็นพาหะนำโรคมากที่สุด : แมลงวันบ้านนำเชื้อโรคและปรสิตต่างๆ มากกว่า 30 ขนิด
- ฝูงตั๊กแตนสามารถกินพืชผลถึง 20,000 ตัน/วัน
- ในศตวรรษที่ 14 หมัดหนูเป็นพาหะนำโรคกาฬโรค ซึ่งทำให้คนตายถึง 20ล้าน คน
- แมลงปอยักษ์ก่อนยุคประวัติศาสตร์ บินได้อย่างต่ำ 69 กิโลเมตร
- แมลงมีชีวิตที่บินเร็วที่สุด ผีเสื้อเหยี่ยว ความเร็ว 53.6 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- กระพือปีกช้าที่สุด ผีเสื้อหางดิ่ง 300ครั้ง/นาที
- กระพือปีกเร็วที่สุด ริ้น Forcipomyia เร็ว 62,760 ครั้ง/นาที
- อพยพไกลที่สุด พีเสื้อเพ้นท์เลดี้ 6,436 กิโลเมตร จากอเมริกาเหนือถึงไอซ์แลนด์- จำนวนมากที่สุด แมลงหางดีด ประมาณ 50,000 ตัว ต่อพื้นที่ทุ่งหญ้า 1 ตารางเมตร- แมลงเล็กที่สุด ต่อมายมาริด ยาว 0.17 มิลลิเมตร
- แมลงใหญ่ที่สุด ด้วงไกโลแอธ ยาว 110 มิลลิเมตร หนัก 100 กรัม
- ปีกยาวที่สุด ผีเสื้อกลางคืน เฮอร์คิวลิสออสเตรเลีย กว้าง 28 เซนติเมตร
- เสียงดังที่สุด จักจั่น มนุษย์สามารถได้ยินเสียงของมันในระยะห่าง 400 เมตร
- ทำให้เสียชีวิตมากที่สุด มากกว่าครึ่งหนึ่งของการตายของพลเมืองหลังจากยุคหินเป็นสาเหตุมาจากมาลาเรียซึ่ง "ยุง" เป็นพาหะนำโรค
นั่งสมาธิ...สวยจากภายในเพื่อสุขภาพ
อย่างแรกผู้เริ่มต้นนั่งสมาธิควรเลือกสถานที่ที่ผ่อนคลาย ไม่มีอะไรมารบกวน เพื่อทำให้จิตใจสงบให้มากที่สุด จากนั้นนั่งในท่าที่สบาย การเลือกท่าทางในการทำสมาธิเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเลือกท่าที่ตนเองชอบมากที่สุด ถ้าหากไม่ชอบนั่งหลังตรง ตัวตรง เพราะรู้สึกไม่สบาย คุณอาจจะเลือกท่านอน นั่งพิง หรือแม้แต่กำลังเดินก็ได้
นอกจากนั้น ยังช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม
แล้วคุณละ เคยนั่งสมาธิหรือยัง หากต้องการสวยทั้งกาย ใจ จากภายในก็มาลองนั่งกันดูนะคะ
บิ๊กอายส์เข้าเครื่องมือแพทย์
วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551
รอยยิ้ม^^
ธนบัตรปลอม
5. ลายน้ำจะเห็นรูปพระลักศณ์ไม่ชัดเจนเมื่อส่องแสง
จุดสังเกตธนบัตรจริง
คุณประโยชน์ของน้ำข้าว
วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
เคี้ยวมะนาวเลิกบุหรี่ใน 2 สัปดาห์ ได้จริงหรือ?
วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551
พจนานุกรมหัวใจ
"น้อยใจ"
อาการอ่อนแอของจิตใจ . . . ที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ยามที่เกิดความต้องการให้คนเอาใจ
วิธีแก้ . . . อย่าเอาแต่ใจ
"เจ็บใจ"
อาการเป็นพิษของจิตใจ . . . ที่ลามมาจากหาง เวลามีใครมาเหยียบมัน
วิธีแก้ . . . ตัดหางทิ้งซะ อย่ายกหางตัวเอง
"ละอายใจ"
อาการใฝ่ดีของจิตใจ . . . ที่ออกมาชี้หน้าด่าเรา
ข้อแนะนำ . . . เมื่อละชั่วได้ ก็ไม่อายแก่ใจ
"เสียใจ"
อาการวูบทางจิตใจ . . . เกิดจากความไม่มั่นคง
เพราะชอบเอาใจไปผูกเอาไว้กับสิ่งอื่น
วิธีแก้ . . . ตัดใจซะสิ อย่าไปผูกมันไว้
"ใจหาย"
อาการนี้ . . . ชื่อก็บอกอยู่แล้ว
วิธีแก้ . . . หายใจเข้าสิ หายใจลึกๆ แล้วจะเลิกใจหาย
"หลายใจ"
อาการสืบพันธุ์ของจิตใจ โดยการแบ่งตัว
นำไปสู่อาการน้อยใจ . . . แก่คนรอบข้างได้ในเวลาต่อมา
วิธีแก้ . . . ระลึกไว้ มีแต่พวกอะมีบาที่ใช้วิธีแบ่งแบบนี้
"ทำใจ"
อาการที่แปลกที่สุดของใจ . . .
ยิ่งทำมากเท่าไร . . . ใจยิ่งว่างเท่านั้น
ข้อแนะนำ . . . ทำทุกครั้ง ทำบ่อยๆ ค่อยๆ ทำ
พ.เพื่อนแบบนี้...มีอ๊ะป่าว??
เพื่อนคนที่เราไม่ต้องพูดอะไรเพื่อเอาใจเขา
เพื่อนคนที่เราเจอกันตอนเช้าแล้วคุณอยากเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนคุณฝันถึงอะไร
เพื่อนคนที่เราเอ่ยชื่อทุกครั้ง... เวลาพ่อแม่ถามว่าอยู่คุยกับใคร ไปกินข้าวกับใครมา
เพื่อนคนที่เราเคยยืมเงินมากเกินหลักพัน เพื่อนคนที่คุณอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบแล้วไม่อึดอัด
เพื่อนคนที่รู้ว่าเดือนๆหนึ่งเราอ่านหนังสืออะไรบ้าง... ซื้อเทปใครบ้าง เพื่อนคนที่รู้ว่าร้านไหนเป็นร้านโปรดของเรา
เพื่อนคนที่คนที่เราคิดว่า ถ้างานนั้นไม่มีเขา... เราคงกร่อย
เพื่อนคนที่เรารู้ว่าเขาชอบใคร... แล้วตอนนี้สถานการณ์ถึงไหน
เพื่อนคนที่โทรหาเราเพราะต้องการคำปรึกษา... ไม่ใช่แค่เล่าให้ฟัง
เพื่อนคนที่คนอื่นเขาเวลาเจอเรา ต้องถามหาเขา
เพื่อนคนที่เราไม่เจอกันไปสามเดือน... แล้วไม่ต้องกังวลว่าอะไรๆจะไม่เป็นเหมือนเดิม
เพื่อนคนที่เรา.... (อื่น ๆ อีกมากมาย) อ่านจบแล้วคุณคิดคิดถึงใคร ...
คน ๆ นั้น คือ เพื่อนสนิท ของคุณ เอาง่ายๆ เวลาคุณเจอคนอื่น เขาถามถึงเพื่อนคนไหนของคุณ
มีมั้ย??... ถ้ายัง หาซะนะ พยายามคิดถึงเรื่อง การคบเพื่อนเชิงคุณภาพ... ไม่ใช่ปริมาณ
เคยมั้ย เหงาท่ามกลางคนมากมาย...
วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551
สว่างด้วย ประหยัดด้วย ช่วยโลกหายร้อน
1.ปิดสวิตซ์ไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน สร้างให้เป็นนิสัยในการดับไฟทุกครั้งที่ออก จากห้อง
2.ในสำนักงาน ให้ปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ในช่วงเวลา 12.00-13.00น. จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้
3.ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้หลอดผอมจอมประหยัดแทนหลอดอ้วน ใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ หรือใช้หลอดคอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์
4.ควรใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟ หรือบัลลาสต์อิเล็กโทรนิกคู่กับหลอดผอมจอมประหยัด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดไฟได้อีกมาก
5.ควรใช้โคมไฟแบบมีแผ่นสะท้อนแสงในห้องต่างๆ เพื่อช่วยให้แสงสว่างจากหลอดไฟ กระจายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าวัตต์สูง ช่วยประหยัดพลังงาน
6.หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้าน เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่าง โดยไม่ต้องใช้พลังงาน มากขึ้น ควรทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี
7.ใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำ สำหรับบริเวณที่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือข้างนอก เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า
8.ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือติดตั้งไฟเฉพาะจุด แทนการเปิดไฟทั้งห้องเพื่อทำงาน จะประหยัดไฟลงไปได้มาก
9.ควรใช้สีอ่อนตกแต่งอาคาร ทาผนังนอกอาคารเพื่อการสะท้อนแสงที่ดี และทาภายในอาคารเพื่อทำให้ห้องสว่างได้มากกว่า
10.ใช้แสงสว่างจากธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น ติดตั้งกระจกหรือติดฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน แต่ต้องให้แสงผ่านเข้าได้ เพื่อลดการใช้พลังงานเพื่อแสงสว่างภายในอาคาร
11.ถอดหลอดไฟออกครึ่งหนึ่ง ในบริเวณที่มีความต้องการใช้แสงสว่างน้อย หรือบริเวณที่มีแสงสว่างพอเพียงแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551
12 เคล็ดลับง่ายๆ เพื่อหน้าใสไร้ริ้วรอย
1. ไม่ควรนอนดึกหรืออดนอน แม้ก่อนหน้านี้จะเคยใช้เวลาช่วงกลางคืนหมดไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือจะทำงานก็ตาม แต่ถ้าอยากหน้าใสไร้ริ้วรอย เมื่อถึงเวลาหัวค่ำแล้วก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลาซะ หยุดกิจกรรมที่เคยชินเสียเดี๋ยวนี้ ร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
2. ควรดื่มน้ำในปริมาณอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ซึ่งน้ำในที่นี้ไม่นับพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม แต่ต้องเป็นน้ำเปล่าที่สะอาด ไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป เพราะเมื่อเราดื่มน้ำอย่างเพียงพอแล้ว ปัญหาผิวแห้งหรือผิวเป็นขุยจะหมดไป แถมทำให้ดวงตาดูสดใส ผิวอวบอิ่มไร้ริ้วรอยอีกด้วย
3. ไม่ลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆ แค่ขยับปากพูดคำว่า "อา อี เอ โอ อู" แค่นี้กล้ามเนื้อหน้าก็จะได้รับการดูแลไม่ให้เหี่ยวย่น
4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด และเครื่องดื่มจำพวกน้ำชา กาแฟ ไม่อย่างนั้นริ้วรอยจะมาเคาะประตูถามหาอย่างแน่นอน อีกทั้งต้องงดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่คือตัวอันตรายที่จะทำให้หน้าของคุณดูแก่เกินอายุ
5. หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ก่อนวัยโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดด ก็อย่าลืมใช้ครีมกันแดด SPF สูงๆ ทาป้องกันก่อนเดินทางออกจากบ้าน
6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ง่าย เช่น ในห้องแอร์ฯ ที่หนาวจัด ถ้าอยู่นานๆ ความเย็นที่ติดลบก็จะทำลายผิวหน้าของคุณ
7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ ยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้ว คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะ แคะ บีบ เกา บริเวณที่เป็นสิวอย่างเด็ดขาด
สำหรับคนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะเป็นหลุมเป็นบ่อคล้ายกับดวงจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ ดังนั้นไม่ควรไปยุ่งกับสิวเลย นอกจากการแต้มยาลดการอักเสบ การบวม เท่านั้น ที่เหลือใช้การรักษาความสะอาดเข้าช่วยเป็นพอ
8. ความเครียดก็เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้หน้าคุณหมองคล้ำ ความเครียดเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องงาน เงิน ครอบครัว หรือความรัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นมารบกวนจิตใจคุณ ก็จงอย่าเครียด ค่อยๆ แก้ไขอย่างมีสติ และพยายามสงบใจไม่ให้เป็นทุกข์
อีกกรณีของความเครียด ก็เกิดมาจากการที่คุณมีสิวขึ้นบนใบหน้า ยิ่งเครียดยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นยิ่งเครียด สุดท้ายแล้วหน้าตาคุณก็จะทั้งหมองทั้งแก่ เพราะสิวแค่เม็ดเดียวเท่านั้น
9. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ก็ควรต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษ ควรที่จะใช้โลชั่นที่มี AHA ทาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ก็แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม
10. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน และคุณควรจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงาน หรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆ มาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นใบหน้าได้
11. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยให้คุณล้างมาสคาราหรืออายแชโดว์ ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคายเคืองผิว ซึ่งอาจนำไปสู่การกำเนิดสิว
12. หากคุณมีปัญหาเรื่องผิวหน้าไม่เรียบ หมองคล้ำ เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นสิว เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับผิวหน้า ควรจะไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน